“ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนับเป็นผลิตภัณฑ์ที่เอไลฟ์ พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเนื่องจากเป็นการออมระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงสวนทางกับภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับเป็นผลิตภัณฑ์ Single Premium จ่ายเบี้ยประกันภัยเพียงครั้งเดียว ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ไม่ต้องมากังวลและสร้างภาระผูกพันในการจ่ายเบี้ยประกันในปีต่อๆ ไป อีกทั้งยังช่วยตอบโจทย์การเงินให้กับผู้ต้องการวางแผนการเงิน โดยผลตอบแทนที่นำเสนอยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ประกอบกับระยะเวลาในการออมที่สั้น จะช่วยทำให้ลูกค้าไม่เสียโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง" นายเชาว์พันธุ์ กล่าว
สำหรับทิศทางของธุรกิจประกันชีวิตในช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2558 ที่ผ่านมา ว่ามีเบี้ยรับรวมที่ 172,552 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 0.89% ซึ่งนับเป็นทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ภาคการลงทุนของอุตสาหกรรมประกันชีวิต มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสินทรัพย์การลงทุนทั้งระบบมีการเติบโตในอัตรา 13.90% คิดเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 2.4 ล้านล้านบาท
“จากอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการการจูงใจด้านภาษี, อัตราการเติบโตของตัวเลขมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และการที่ผลิตภัณฑ์ด้านการประกันมีความน่าดึงดูดมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์การออมเงิน ในช่วงที่ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง" นายเชาว์พันธุ์ กล่าว
ส่วนทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี โดยมีปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความเสี่ยงเติบโตต่ำจากภาวะการส่งออกปีนี้มีโอกาสติดลบ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวมาก จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรผ่อนคลายอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมถึงตราสารหนี้ประเภทต่าง ต้องปรับลดลงตามทิศทางตลาดเงิน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตจะเป็นช่องทางเลือกในการวางแผนการเงินที่น่าสนใจในช่วงดอกเบี้ยขาลงเพิ่มมากขึ้น