ส่วนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ตอนในนั้น รัฐบาลจะเน้นการพัฒนาพื้นที่ในอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยจะเน้นในด้านอุตสาหกรรมเป้าหมายและส่งเสริมให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศ เบื้องต้นมีแผนจะให้จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรีกำหนดเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตอนใน ซึ่งจะมีการออกประกาศและเสนอต่อที่ประชุม กนพ.ครั้งต่อไป นอกจากนี้ยังจะมีการกำหนดกลุ่มนวัตกรรมที่จะกำหนดพื้นที่ที่ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม เบื้องต้นกำหนด จังหวัดปทุมธานี เนื่องจากมีความพร้อมด้านโรงงาน มหาวิทยาลัย และอุทยานวิทยาศาสตร์รองรับ
2.เห็นชอบการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้ผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น ลดเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 1 ล้านบาทเหลือ 5 แสนบาท และอนุญาตให้นำเครื่องจักรที่ใช้แล้วในประเทศ มาใช้ในโครงการที่ขอรับการส่งเสริมได้มีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท
3.ให้คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากรและสำนักงบประมาณ ทบทวนแผนพัฒนาตามความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการ โดยกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนของเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษระยะแรกและระยะที่ 2 4.ให้กระทรวงพานิชย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย บีโอไอ และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) พิจารณาแนวทางศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อเผนแพร่ข้อมูลในแนวทางเดียวกัน 5.ให้สภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนในพื้นที่บ้านป่าไร่ จ.สระแก้ว และช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี เสนอต่อคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) และเร่งศึกษารายละเอียดภูมิประเทศ
6.เห็นชอบการจัดสรรที่ดินให้หน่วยงานราชการใช้ประโยชน์ และให้เอกชนนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเช่า ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 5+1 ประกอบด้วย ตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลาและหนองคาย ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ขอให้กระทรวงการคลังทบทวนหลักเกณฑ์กำหนดอัตราเช่าที่ดินและผลประโยชน์ตอบแทนการเช่าที่ดินราชพัสดุเพื่อเพิ่มแรงจูงใจในเขตเศรษฐกิจพิเศษและเสนอคณะกรรมการ กนพ.ต่อไป และ 7.ให้อนุกรรมการด้านจัดหาที่ดินและบริหารจัดการกำหนดพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์ในระยะที่ 2 และให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการถอนสภาพที่ดินของรัฐเพื่อให้กรมธนารักษ์ถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษต่อไป