(เพิ่มเติม) "หม่อมอุ๋ย"เชื่อ GDP ปีนี้โตได้ 3% ยันสบายใจ-ทำงานเต็มที่แม้มีข่าวปรับครม.

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday July 28, 2015 15:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ราว 3% เนื่องจากขณะนี้ภาครัฐได้ใช้จ่ายเงินไปมากแล้ว และมีการลงทุนของภาคเอกชนเข้ามาเสริม ขณะที่มีปัจจัยหลักคือการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นเข้ามาช่วยลดผลกระทบจากการส่งออกที่หดตัวไปได้มากในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4/58 การส่งออกน่าจะกลับมาดีขึ้นหลังจากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากแล้ว

ม.ร.ว.ปรีดืยาธร กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้แถลงชี้แจงภาวะเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ร่วมกับรมว.อุตสาหกรรม และรมช.พาณิชย์ หลังจากที่ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในวันนี้ได้รับทราบข้อมูล

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ประเทศขนาดใหญ่ต่างลดการนำเข้า ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของทุกประเทศ รวมถึงไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีการท่องเที่ยวเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจไว้ไม่ให้ติดลบ โดยขณะนี้การท่องเที่ยวเติบโตถึง 28% นอกจากนั้น ปัจจัยที่จะช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยในปีนี้เติบโตได้ถึง 3% คือการที่ภาครัฐได้ใช้จ่ายเงินไปในหลาย ๆ ส่วน และการลงทุนเอกชนที่เพิ่มขึ้นเข้ามาเป็นส่วนเสริม

นอกจากนั้น จากข้อมูลขององค์การส่งเสริมการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (เจโทร) ทำให้คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยน่าจะกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 4/58 เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าไปมากมีผลให้ราคาสินค้าส่งออกปรับลดลง แต่อาจต้องใช้เวลา 3-4 เดือนในการสั่งซื้อสินค้าตามราคาใหม่

ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ระบุว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีคำขออนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาแล้วกว่า 1,200 โครงการ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดว่าโครงการต่าง ๆ จะเริ่มทยอยลงทุนในช่วง 1 ปีนี้ เป็นตัวชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการและนักลงทุนไม่ได้ขาดคตวามเชื่อมั่นในประเทศไทย

ส่วนกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่จะมีการดึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเข้ามาคุมเศรษฐกิจแทนนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น แต่ยืนยันว่ายังสบายใจและทำงานอย่างเต็มที่

"ไม่รู้ ไม่มีทางรู้ เราคนทำงาน เราทำงานเต็มที่จริงๆ....ไม่รู้ อันนี้ผมไม่เดา ผมทำงาน รัฐมนตรีทั้งสองท่านก็ทำเต็มที่ คุณจักรมณฑ์ตอนเข้ามาผมยังดำอยู่ เจองานรัฐบาลเข้าไปผมขาวไปเยอะเลย...ชอบถามไม่เป็นเรื่องเป็นราว"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า แม้ว่าการส่งออกของไทยในเดือน มิ.ย.จะปรับลดลงถึงกว่า 7% แต่จากข้อมูลการส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกในหลายประเทศ โดยเฉพาะ 10 ประเทศที่มีการส่งออกสูงสุดก็ลดลงมามากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์และมาเลเซีย ติดลบ 13% ญี่ปุ่น ติดลบ 7% ฝรั่งเศส ติดลบ 16% ออสเตรเลีย ติดลบ 21% และรัสเซีย ติดลบถึง 30%

จากการประเมินของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์)เห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในภาวะเปราะบาง ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะข้าวและยางพารา ฉุดมูลค่าส่วงออกของไทยให้ปรับลดลง แม้ว่าปริมาณจะไม่ได้ลดลงก็ตาม นอกจากนั้นยังมีปัจจัยชั้วคราวที่การส่งออกรถยนต์ของค่ายโตโยต้าลดลงในช่วงการเปลี่ยนโมเดลรถรุ่นใหม่

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมูลค่าการส่งออกยางพาราที่ตกต่ำมาตลอด 18 เดือนนั้น ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการขยับขึ้นมาแล้ว และยังคงเป้าหมายการส่งออกข้าวปีนี้ไว้ที่ 10 ล้านตัน

"เมื่อดูการนำเข้าและส่วออกทั่วโลก ทุกประเทศลดการนำเข้าลงหมด ผู้ขายก็ย่อมจะลำบาก แต่กระทรวงพาณิชย์จะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันการส่งออก ล่าสุด รมว.พาณิชย์ไปโรดโชว์ที่แอฟริกาทั้งข้าวและรถยนต์ คาดว่าน่าจะขายข้าวได้ 2 แสนตัน กระทรวงพาณิชย์ยังจัดงานร่วมกับประเทศอินเดียที่ จ.สราษฎร์ธานี มียอดขายยางได้ถึง 5 แสนตัน มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนรั้นจะนำสินค้าไปแสดงและเจรจาขายให้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย"

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวณิช รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยยังมีการลงทุนใหม่ ๆ เข้ามา โดยเฉพาะการตั้งโรงงานผลิตยางล้อรถยนต์ที่มีราว 8-10 โรงงาน และเริ่มสร้างไปแล้ว 3 โรงงาน ขณะที่โครงการอีโคคาร์ 2 เริ่มลงตัวแล้ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าการผลิตชิ้นส่วนและมีการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ ๆ ประกอบกับ รัฐบาลยังสนับสนุนการลงทุนใหม่ ๆ โดยเฉพาะในด้านวัตกรรม โรงไฟฟ้าชีวมวล และพลังงานทดแทน ซึ่งขณะนี้บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนกับโครงการลงทุนไปแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ