“สิ่งที่สร้างความไม่แน่นอนคือเรื่องภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ ที่เฟดให้น้ำหนักไปทางประเทศจีน และตลาดเกิดใหม่มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในโจทย์ที่สภาคองเกรสให้กับเฟดไว้ แต่เฟดอาจจะแย้งว่าอาจทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อมีความผันผวนได้"นายกอบสิทธิ์ กล่าว
นายกอบสิทธิ์ มองว่า เฟดยังมีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ภายในปีนี้อีกครั้ง คือ เดือนต.ค.น่าจะเหมาะสม เพราะถ้าจะไปปรับขึ้นในเดือนธ.ค.จะติดกับช่วงเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ ซึ่งตลาดอาจจะไม่มีความพร้อม ซึ่งถ้าพิจารณาภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐนั้นจะพบว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้าน่าจะมีความพร้อมกว่า
ส่วนที่มองว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าเลยนั้น มองว่ามีโอกาสน้อยเพราะเป็นช่วงปีที่ต้องเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ โอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจเหลือแค่ครึ่งปีแรกเท่านั้น เพราะหากปรับขึ้นช่วงครึ่งปีหลังเฟดอาจจะโดนกล่าวหาได้ว่าเล่นการเมือง
“เรายังปักธงไว้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. ส่วนจะขึ้นอีกทีหรือไม่ก็ต้องดูสภาพเศรษฐกิจต่อไป แต่เฟดไม่น่าจะโยนว่าต้องดูภาวะต่างประเทศ เพราะมันไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจีนจะมีนโยบายอย่างไร ความโปร่งใสในเชิงการวางแผนนโยบายของจีนยังมีคำถามค่อนข้างมาก"นายกอบสิทธิ์ กล่าว
พร้อมมองว่า การที่ค่าเงินในเอเชียกลับมาแข็งค่าในช่วงหนึ่ง เป็นผลจากที่ตลาดผ่อนคลายจากการที่เฟดได้ยืดเวลาการขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน แต่ภาวะนี้เป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะแนวโน้มค่าเงินในเอเชียในระยะปานกลางถึงระยะยาวยังเป็นมองว่าจะอ่อนค่าต่อ โดยคาดว่าสิ้นปีเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 36.75 บาท/ดอลลาร์ และปีหน้าอยู่ที่ 38.00 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเรายังจำเป็นต้องอาศัยเงินบาทอ่อนค่าเพื่อช่วยหนุนการส่งออกในการนำไปสู่การพยุงเศรษฐกิจของไทยต่อไป