"เอสเอ็มอีวันนี้ เล็กกับกลางไม่โตเสียที เป็นกิจการหลักของประเทศ การแก้ไขปัญหาให้จบต้องไม่ใจร้อน ต้องมีความร่วมมือกัน ถ้าแตกแยกกันด็ไม่จบ พยายามเร่งรัดให้เร็ว วันนี้นอกจากขับเคลื่อนในประเทศ ต่างประเทศก็สำคัญ ดังนั้นเราจะต้องเร่งยกระดับเอสเอ็มอีในหลายด้าน ทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาตนเอง เพราะถ้าไม่พัฒนาตนเอง จะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จะค้าขายกับใครจะต้องสร้างตัวเองให้เข้มแข็ง สร้างความเชื่อมั่น มีแผนธุรกิจที่ดี เราเปรียบเสมือนต้นไม้เล็ก อยู่ภายใต้ต้นใหญ่ คือธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจข้ามชาติ ต้องหาแนวทางจะเชื่อมโยงได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจะต้องมีนวัตกรรมใหม่ๆออกมา เพื่อเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า และจะทำอย่างไรให้ความต้องการขายกับความต้องการซื้อมีความสมดุลกัน ขณะเดียวกันต้องดึงเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในระบบ ไม่อยากให้ผู้ประกอบการต้องกลัวกับการเสียภาษี ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันจะไม่มีการตรวจสอบภาษีย้อนหลังหากผู้ประกอบการให้ความร่วมมือ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การช่วยเหลือเอสเอ็มอีนั้นจะต้องเร่งทำในหลายด้าน เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งเอสเอ็มอีจะต้องเข้ามาอยู่ในระบบ มีการทำบัญชีให้ถูกต้อง ส่วนอีกด้าน คือ ด้านการตลาด เพราะปัจจุบันเอสเอ็มอีขาดบุคลากรด้านการตลาดที่มีความพร้อม ต้องสร้างแบรนด์ที่ดีมีคุณภาพ
"ทำอย่างไรจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าให้ได้ ต้องมีการพัฒนารูปแบบใหม่ๆที่น่าสนใจ เพื่อรองรับกับความต้องการที่จะเกิดขึ้น ที่สำคัญจะต้องดึงเอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในระบบ เพราะปัจจุบันเอสเอ็มอีในปัจจุบันมี 2.8 ล้านราย แต่มีการจดทะเบียนเพียงประมาณ 700,000 รายเท่านั้น...เป็นไปได้หรือไม่ รัฐบาลจะสร้างแบรนด์ของเรา ถ้าทำได้อาจมียาสีฟันยี่ห้อสมคิดก็ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้านบาท เป็นมาตรการที่ดำเนินการไปก่อน หากไม่เพียงพออาจมีการพิจารณาต่อไป แต่อยากให้ทุกคนช่วยเหลือตัวเองด้วยเพื่อสร้างเข้มแข็งให้กับตัวเอง ส่วนที่ทำในวันนี้ถือว่าเป็นการสร้างกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลยังช่วยเหลือในเรื่องการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเอสเอ็มอีที่จดทะเบียนตั้งแต่ปี 2558-2559 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเอสเอ็มอีที่เพิ่งเริ่มกิจการเป็นเวลา 5 ปี