รมว.วิทย์ฯ ปรับทิศทางสอดรับนโยบายเศรษฐกิจรัฐบาล เพิ่มบทบาทเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อน SMEs สู่อาเซียน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 25, 2015 11:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เผยเตรียมปรับทิศทางการทำงานใหม่ให้สอดรับตามนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กำหนดให้กระทรวงฯ อยู่ในกลุ่มเศรษฐกิจ เพื่อให้มีบทบาทเช่นเดียวกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)

ทั้งนี้กระทรวงฯ จะมีส่วนสำคัญที่จะผลักดันผลงานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม(วทน.) ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งส่งเสริม สนับสนุน และแนะนำแนวทางการนำผลงานวิจัยจากห้องทดลอง(LAB) ไปสู่การพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพหลากหลายในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ และผลักดันให้เกิดการผลิตสินค้าระดับมาตรฐานสากลจนสามารถเป็นผลิตภัณฑ์บนชั้นวางขาย(SHELF) ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำหรือแข่งขันในตลาดใหญ่ระดับอาเซียนได้มากขึ้น

รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงต่างมีกระบวนการผลิตความน่าเชื่อถือสูง โดยอาศัยผลงานการวิจัยต่างๆ จากการคิดค้นของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และแพทย์แขนงต่างๆ จากห้องแล็บก่อนจะถูกนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ทางการค้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ยกตัวอย่าง เครื่องสำอาง เครื่องกรองน้ำ ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ สมุนไพร ที่นับวันจะสร้างมูลค่าตลาดให้กับประเทศไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยปี 2557 สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 2.1 แสนล้านบาท ซึ่งมีการขยายตัว 10% จากปี 2556 และคาดว่าหลังปี 2558ที่มีการเปิดประตูเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) น่าจะขยายยอดขายโตถึง15-20% ขณะที่อุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำสำหรับใช้ในครัวเรือนในปี 2556 มีมูลค่าตลาดรวม 5,500 ล้านบาท ซึ่งอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเติบโตตามทิศทางการขยายตัวของการใช้น้ำประปาในครัวเรือนและการเติบโตของที่อยู่อาศัยในประเทศ และเชื่อว่าระยะต่อไปของอุตสาหกรรมนี้ก็จะสามารถขยายตลาดไปประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนได้เช่นกัน นอกจากนั้นผลิตภัณฑ์นาโนเทคโนโลยีในประเทศไทยที่ผ่านมาก็สร้างมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในปี 2558 นี้จะเติบโต 20% เพราะความต้องการใช้นาโนเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมมีมากขึ้น ทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและยา เป็นต้น

สำหรับแนวทางปฏิบัติที่จะผลักดันให้เกิดการนำผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ จากห้องทดลองตามโครงการต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ไปสู่ภาคการผลิตของเอกชนและประชาชนนั้น กระทรวงฯ จะเน้นให้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องและเอกชนที่มีศักยภาพ ทั้งภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรมการผลิต การเงิน การลงทุน และส่งออกมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถผลักดันผลงานทางวิทยาศาสตร์ไปแปรเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ที่สร้างรายได้ให้คนไทยตั้งแต่ระดับชุมชนจนถึงระดับชาติได้โดยเร็วที่สุด

"เราจะมุ่งส่งเสริมให้ SMEs หันมาใช้วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมมากขึ้น และกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่ขาดบุคลากรในปัจจุบันเราจะจัดเจ้าหน้าที่จากภาครัฐให้เข้าไปช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันทำได้แล้วโดยไม่ผิดกฎหมาย" นายพิเชฐ กล่าว

นอกจากนี้อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ การที่รัฐบาลได้เพิ่มมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับค่าใช้จ่ายด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก 200% เป็น 300% ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีความสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ประการสำคัญ การพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ผลักดันและขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะทำให้ผลงานวิจัยในภาครัฐรองรับความต้องการเชิงพาณิชย์ที่แท้จริงแล้ว ยังเชื่อมโยงการวิจัยกับภาคเอกชนเพื่อให้มีนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ที่ดีมีคุณภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือ เพื่อการส่งออกและบริโภคภายในประเทศและต่างประเทศ

"กระทรวงฯ ให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่เป็นข้อต่อให้กระทรวงต่างๆ โดยมุ่งเป้าหมายให้บริษัทขนาดใหญ่ ธุรกิจเอสเอ็มอี และผลิตภัณฑ์ชุมชน ได้เพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์จากการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น สอดรับกับนโยบายพัฒนากำลังคนด้านการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างเต็มศักยภาพ" นายพิเชฐ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ