(เพิ่มเติม) สศค.ลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือโต 2.8% ก่อนฟื้นมาขยายตัว 3.8%ในปี 59

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 28, 2015 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2558 จะสามารถขยายตัวได้ 2.8% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.6 – 3.1%) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.9% ขณะที่ภาคส่งออกปีนี้ยังหดตัว -5.4% และนำเข้าหดตัว -9.8%

ในปี 58 เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐและการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ผู้มีรายได้น้อย มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและบรรเทาผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และมาตรการช่วยเหลือ SMEs ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้

นอกจากนี้ การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในเกณฑ์สูงคาดว่าจะสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า โดยได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาทิ จีน จะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ครั้งก่อน สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2557 จะอยู่ที่ -0.9% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -1.2% ถึง –0.7%) ลดลงจากปีก่อนหน้า ตามราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง อันเป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นตามการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันในตลาดโลกชะลอลงตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีน

น.ส.กุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค กล่าวว่า การปรับลด GDP ของไทยในปีนี้ลงเหลือ 2.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 3% นั้น ส่วนหนึ่งมาจากผลของการปรับเป้าหมายการส่งออกในปีนี้ลงมาอยู่ที่ -5.4% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ -4% เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น จีน

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ทยอยประกาศออกมาตั้งแต่เดือนก.ย. ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนโครงการลงทุนขนาดเล็กนั้น มีผลช่วยในการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ให้เพิ่มขึ้น 0.5% ซึ่งได้รวมไว้ในการปรับประมาณการ GDP ล่าสุดของปีนี้แล้ว

“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลเริ่มออกมาตั้งแต่ก.ย. และจะเร่งรัดให้เกิดขึ้นภายใน ธ.ค.58 นั้น มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ 0.5% ซึ่งทำให้คาดว่าทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2.8%” น.ส.กุลยา กล่าว

ก่อนที่เศรษฐกิจไทยจะกลับมามีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นในปี 59 มาอยู่ที่ 3.8% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.3 – 4.3%) โดยได้รับแรงส่งของการใช้จ่ายลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และโครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับโครงการรัฐได้

นอกจากนี้ เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่เริ่มขยายตัวดีขึ้นประกอบกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าคาดว่าจะส่งผลดีต่อปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าส่งออก ด้านการส่งออกบริการยังคงขยายตัวต่อเนื่องตามการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ทำให้การส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นบวก 3.2% และ นำเข้า ขยายตัว 7.5%

อย่างไรก็ตาม ปัญหาภัยแล้งจากปริมาณน้ำฝนที่น้อยกว่าปกติต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า อาจทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกของเกษตรกรและกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร ส่งผลให้ครัวเรือนในภาคเกษตรกรรมเพิ่มความระมัดระวังการใช้จ่ายและกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนได้ ในด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2559 จะอยู่ที่ 1.8% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 1.3% – 2.3%) ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนหน้า ตามแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และการอ่อนค่าของเงินบาท

สำหรับในการประมาณการเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยน และปัญหาภัยแล้ง

น.ส.กุลยา กล่าวว่า การปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 58 และการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 59 นั้น มาจากสมมติฐานหลักที่สำคัญ 7 ด้าน คือ 1.อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย 15 ประเทศในปีนี้ยังชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของหลายประเทศในภูมิภาค โดยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจของ 15 ประเทศคู่ค้าหลักของไทยจะเติบโตได้ 3.5% ส่วนปีหน้าเติบโตได้ 3.6%

2.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยพบว่าในปีนี้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวแปรสำคัญมาจากทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ เพราะจะมีผลต่อความผันผวนของตลาดการเงิน ทั้งนี้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังอยู่ในระดับต่ำ โดยคาดว่าปีนี้ค่าเงินบาทจะเฉลี่ยอยู่ที่ 34.15 บาท/ดอลลาร์ ส่วนปีหน้าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 36.50 บาท/ดอลลาร์ และปรับตัวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินอื่นในภูมิภค

3.ราคาน้ำมันดิบดูไบ ซึ่งในปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเริ่มกลับสู่ขาลงอีกครั้ง หลังจากที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้มีปริมาณการใช้น้ำมันลดลง โดยคาดว่า ณ สิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 53 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนปีหน้าคาดว่ายังคงมีอุปทานน้ำมันค้างมาจากปีนี้ จึงไม่ทำให้ราคาน้ำมันสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มากนัก ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบปีหน้าคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 57.80 ดอลลาร์/บาร์เรล

4.ดัชนีราคาสินค้าส่งออกและนำเข้า โดยในปีนี้คาดว่าดัชนีราคาสินค้าส่งออกจะลดลง 2.3% ส่วนดัชนีราคาสินค้านำเข้าจะลดลง 9.8% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าดัชนีราคาสินค้าส่งออกจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% และดัชนีราคาสินค้านำเข้าจะเพิ่มขึ้น 1.6%

5.อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากในปีนี้ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งช่วยให้สามารถคงดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับปัจจุบันได้ จึงคาดว่าสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ที่ระดับ 1.50% ขณะที่ปีหน้ามีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1.75% จากแนวโน้มที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในต้นปีหน้าเช่นกันหลังจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มฟื้นตัว

6.จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยในปีนี้คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศจะอยู่ที่ 30.15 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21.5% คิดเป็นรายได้เข้าประเทศ 1.43 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.5% ส่วนในปีหน้าคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 34.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 13.5% คิดเป็นรายได้เข้าประเทศ 1.65 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 15.5%

7.รายจ่ายภาคสาธารณะ โดยมองว่าในปีนี้รายจ่ายลงทุนของภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี โดยรายจ่ายลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 58 ขยายตัวถึง 36.1% ทั้งนี้รายจ่ายภาคสาธารณะในปีงบประมาณ 58 อยู่ที่ 3.4 ล้านล้านบาท และในปีงบประมาณ 59 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.7 ล้านล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ