นายฐากร ตัณฑสิทธิ์เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า ทาง กสทช.ก็ได้มีการรับทราบถึงสภาพของผู้ประกอบการในขณะนี้ว่าส่วนใหญ่ร่างกายเริ่มอ่อนล้า ทาง กสทช.จึงมีการนำรถพยาบาลมารองรับในบริเวณสำนักงาน กสทช.ไว้ด้วย ขณะที่คาดว่าผู้ประกอบการ 1 รายคงหยุดเคาะราคาแล้ว โดยขณะนี้มีผู้เคาะราคาอยู่เพียง 3 ราย แต่ทุกรายจะยังจะต้องอยู่ในห้องประมูลจนกว่าการประมูลจะสิ้นสุดลง
ทั้งนี้ สถานการณ์การประมูลครั้งนี้เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก และได้ดำเนินเวลามากว่า 24 ชั่วโมงแล้ว โดยภาพรวมทั้งหมดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งการแข่งขันถือว่าเป็นการแข่งขันกันอย่างแท้จริง
สิ่งที่หลายฝ่ายเป็นกังวลคือ ในเรื่องของอัตราค่าบริการที่อาจจะเพิ่มสูงขึ้น โดยทางกสทช.ยังคงยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ว่าอัตราค่าบริการ 4G จะต้องถูกกว่าอัตราค่าบริการ 3G อย่างแน่นอน โดยอัตราค่าบริการ 3G ในปัจุบัน สำหรับบริการประเภทเสียง มีค่าเฉลี่ยประมาณ 69-72 สตางค์ต่อนาที และบริการอินเตอร์เน็ต อยู่ที่ 26 สตางค์ต่อเม็กกะไบต์ ประกอบกับจะต้องมีการคุ้มครองผู้พิการ เพื่อให้เข้าถึงบริการ 4G อีกด้วย
แต่ก็มองว่าประกอบการณ์น่าจะได้รับผลกระทบต่อกำไรในปีแรกๆ ที่อาจจะทำได้น้อยลงกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้
"แม้ว่าอัตราการประมูลในขณะนี้จะส่วนทางกับอัตราค่าบริการ ที่ถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องต่ำกว่าการให้บริการของ 3G จึงมองว่าเป็นดุจพินิจของผู้ประกอบการว่าจะลงทุนต่อไปอย่างไร"นายฐากร กล่าว
สำหรับการประมูลฯที่มีเวลายาวนาน ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.58 เวลา 10.00 น. จนถึงขณะนี้ก็ถือว่าเป็นประเทศแรกที่มีการเก็บตัวผู้ประกอบการไว้ภายในห้อง และไม่มีกำหนดเวลาของการประมูลฯ ซึ่งเกินความคาดหมายที่ได้คาดการณ์ไว้แล้ว ที่จะต้องมีรายได้เข้าสู่รัฐราว 40,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมีเงินที่ได้จากการประมูลที่ 73,614 ล้านบาท
นอกจากนี้ ทางสำนักงาน กสทช.ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวจะเป็นไปด้วยความโปร่งใส สุจริตและเป็นธรรม โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและรัฐเป็นหลัก