นอกจากนี้ SCB EIC แนะจับตาผลการประเมินของสำนักงานบริหารความปลอดภัยด้านการบินของสหภาพยุโรป (European Aviation Safety Agency: EASA) ซึ่งมีแนวโน้มสอดคล้องกับผลการประเมินของ FAA จากกรณีศึกษาของอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์พบว่า ผลการประเมินของ FAA และ EASA มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยในกรณีของอินโดนีเซียนั้น FAA ปรับลดระดับมาตรฐานด้านการบินในเดือนเมษายน 2007 และ EASA มีคำสั่งห้ามสายการบินอินโดนีเซียบินเข้าน่านฟ้าสหภาพยุโรปตามมาในเดือนมิถุนายน 2007 สอดคล้องกับกรณีของฟิลิปปินส์ที่ FAA ปรับลดระดับมาตรฐานด้านการบินในปี 2008 และ EASA มีคำสั่งห้ามสายการบินของฟิลิปปินส์บินเข้าสหภาพยุโรปในปี 2010
อย่างไรก็ตาม SCB EIC คาดว่าการบินไทยมีแนวโน้มได้รับการยกเว้นไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ (Blacklist) ทั้งนี้ คาดว่า EASA จะประกาศผลการตรวจสอบมาตรฐานการบินของไทยภายในวันที่ 10 ธ.ค. 58 และไทยมีความเสี่ยงในการถูกขึ้นบัญชีดำในลักษณะเดียวกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่การบินไทยซึ่งเป็นสายการบินสัญชาติไทยเพียงแห่งเดียวที่มีเส้นทางสู่ยุโรป อีกทั้งได้รับประกาศนียบัตรสายการบินที่ได้มาตรฐานด้านความปลอดภัยจาก IATA (IATA Operational Safety Audit: IOSA) จะยังคงสามารถให้บริการการบินสู่ยุโรปได้ ทำให้สถานการณ์อาจไม่รุนแรงมากนัก คล้ายคลึงกับกรณีของอินโดนีเซีย ซึ่งถูกขึ้นบัญชีดำจาก EASA แต่ยังคงมีสายการบินสัญชาติอินโดนีเซียถึง 4 สายที่ได้รับการยกเว้น ทำให้ยังสามารถทำการบินสู่ยุโรปได้
การปักธงแดงขององค์กรการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) และการลดระดับของ FAA เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ไทยต้องเร่งแก้ไขปัญหามาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของประเทศ จากผลการประเมินของ ICAO และ FAA ทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องของไทยควรร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วยความรอบคอบ โดยเฉพาะประเด็นการทบทวนการออกใบรับรองการเดินอากาศ (Air Operator’s Certificate: AOC) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศ ทั้งนี้ จากบทเรียนของอินเดียพบว่าการคืนสถานะของ FAA สามารถทำได้ในระยะเวลาไม่นานนัก หากมีการดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยอินเดียมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการในการออกใบอนุญาตใหม่ และใช้ระยะเวลาเพียง 1 ปี ในการเลื่อนอันดับเป็นประเภท 1 ของ FAA