(เพิ่มเติม1) "สมคิด"คาดเริ่มก่อสร้างนิคมอุตฯ ทวายเฟสแรกในปลาย มี.ค.59

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 14, 2015 17:53 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงระหว่างไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 5 ว่า คาดการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายระยะแรก จะสามารถเริ่มงานก่อสร้างในปลายไตรมาสแรกปี 59 หรือปลายเดือนมี.ค.59

ขณะเดียวกันสามารถหารือการพัฒนาเขตเศรษฐกิจทวายในส่วนพื้นที่เหลือทั้งหมด (Full phase) ร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ ไทย-เมียนมา และญี่ปุ่น โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เฟสแรกก่อสร้างเสร็จ ทั้งนี้คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุมครั้งหน้าในช่วงปลายเดือน ก.พ.-ต้นมี.ค.59 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของเมียนมา ทั้งนี้ จะมีการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ อาทิ เหล็ก ปุ๋ยเคมี และยังมีการลงทุนท่าเรือน้ำลึกทวาย โดยเชื่อว่าไทยกับเมียนมาจะเป็นพาร์ทเนอร์การค้า เพราะด้านแม่สอด-เมียวดีมีการค้าที่เกื้อกูลกัน

"โครงการทวาย เป็นโครงการที่เมียนมาเอาจริงเอาจัง เพราะโครงการนี้ทำให้เกิดประโยชน์กับเมียนมา และเป็นประโยชน์ต่อประเทศใกล้เคียง ตอนแรกเขาก็มีความกังวล แต่เมื่อทางญี่ปุ่นแสดงความมุ่งมั่นเข้ามาร่วม ทำให้โครงการทวายเป็นจริงขึ้นมา" นายสมคิด กล่าว

อย่างไรก็ดี นอกจากเมียนมาแล้ว ในปลายสัปดาห์นี้คณะรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชาจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกัน โดยรัฐมนตรีเข้าร่วมทั้งหมด 17 คน ขณะที่ในวันที่ 17-18 ธ.ค.จะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากจีนจำนวน 12 คน พร้อมด้วยนักธุรกิจจีนเข้ามาด้วย 20 คน และวันที่ 19 ธ.ค. จีนจะร่วมวางศิลาฤกษ์โครงการความร่วมมือรถไฟฟ้าไทย-จีน ที่สถานีควบคุมรถที่เชียงรากน้อย

"จีนแสดงความสนใจและกระตือรือร้นในการเข้าประชุมร่วมกับไทย เรื่องรถไฟเป็นแค่ส่วนประกอบ เขาต้องการกระชับทั้งด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว

โดยวันนี้ญี่ปุ่นได้ลงนามในข้อตกลงของผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลเฉพาะกิจ(SPV) ระหว่างธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(JBIC) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่น สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(สพพ.) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลไทย และสำนักความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของเมียนมา(FERO) ในฐานะตัวแทนรัฐบาลเมียนมาเพื่อทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหลักให้กับคณะกรรมการบริหารโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยถือหุ้นในสัดส่วนเท่ากันและลงทุนฝ่ายละ 6 ล้านบาท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่า SPV มีบทบาทหน้าที่ในการบริหารโครงการ และลงทุนสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ เช่น ท่าเรือ ถนน โรงไฟฟ้า ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานของเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนี้ SPV จะวางแผนแม่บทของโครงการ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ แต่เมื่อญี่ปุ่นสนใจเข้าร่วมก็จะพิจารณาแผนและอาจมีการปรับปรุงได้หลังจากที่ญี่ปุ่นได้ให้ข้อสังเกต เช่น โครงการถนน และท่าเรือ เป็นต้น

ด้านนายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวว่า ที่ประชุม JHC ครั้งนี้ได้เห็นชอบร่วมกันในแนวนโยบายการใช้เงินบาทของไทยและเงินจ๊าดของเมียนมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การค้าและการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รวมถึงความเป็นไปได้ในการให้บริษัทประกันต่างชาติสามารถให้บริการทางการเงินในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายเพื่อสนับสนุนโครงการ ซึ่งได้มอบหมายให้คณะทำงานร่วมไทย-เมียนมา ด้านการเงิน การลงทุน นำไปหารือเพื่อให้ข้อสรุปร่วมกันต่อไป

ในที่ประชุม JHC วันนี้ ได้รับทราบความคืบหน้าโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่ให้สัญญาสัมปทานโครงการระยะแรกที่มีพื้นที่ 27 ตร.กม.ให้กับกลุ่มผู้พัฒนา คือ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD) บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ(ROJNA) และ บริษัท LNG Plus International จำกัด หลังจากลงนามไปเมื่อ 5 ส.ค.58 ซึ่งขณะนี้การดำเนินงานตามเงื่อนไขมีความคืบหน้าเป็นไปตามกำหนด เช่น การเจรจาข้อสรุปข้อตกลงสัมปทานสถานีรับ LNG ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตไฟฟ้าสำหรับโครงการนี้ระยะแรก

อีกทั้งอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการย้ายถิ่นฐานและการจ่ายค่าชดเชยประชากรที่ได้รับผลกระทบให้สอดคล้องกับแนวทางการปฏิบัติขององค์กรระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม(EIA) เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างยั่งยืน รวมถึงอยู่ระหว่างการจัดตั้งศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ(OSSC) เพื่อให้บริการแก่นักลงทุนนานาชาติในอนาคต

สำหรับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 270 ตร.กม. และแบ่งพัฒนาระยะแรกแล้ว 27 ตร.กม.

อย่างไรก็ดี บ่ายวันนี้ได้มีการประชุมคณะทำงานร่วม 3 ฝ่าย เพื่อหารือและวางแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายร่วมกันในระยะยาว

โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม กล่าวว่าหลังการประชุมคณะทำงานร่วม 3 ฝ่ายว่า การเข้ามาร่วมมือของญี่ปุ่นในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายของญี่ปุ่นนั้น ญี่ปุ่นต้องการศึกษาปรับปรุงโครงการโดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่ญี่ปุ่นได้ตั้งข้อสังเกตไว้ 7 ประเด็น ทั้งนี้จะเร่งรัดให้ผลศึกษาแล้วเสร็จในก.พ.59 ถึงจะทราบมูลค่าทั้งหมดในเฟสที่เหลือของโครงการนี้

รมว.คมนาคม กล่าวว่า ในส่วนถนนจากท่าเรือน้ำลึกทวายไปบ้านพุน้ำร้อน ระยะทาง 138 กม. ซึ่ง ITD ได้ศึกษาทำถนน 2 ช่องจราจรนั้น อาจจะปรับเป็น 4 ช่องจราจร และบางช่วงมีจุดลาดชันจึงอาจจะปรับทำเป็นอุโมงค์ที่จะทำให้รถบรรทุกเดินรถได้ง่ายและยังจะทำรถไฟเป็นเส้นทางเดียวกับถนนเป็นรางขนาด 1 เมตร เพื่อใช้ขนส่งสินค้าและจะได้เชื่อมต่อรถไฟฝั่งไทยที่เริ่มจากพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี

นอกจากนี้ ในส่วนท่าเรือก็จะมีแยกให้ทำเป็นท่าเรือน้ำลึก ท่าเรือเฉพาะ LNG Terminal ท่าเรือขนส่งอุตสาหกรรมอื่น และโรงไฟฟ้าแผนเดิมเป็นโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิก๊าซธรรมชาติกับพลังงานความร้อนร่วมขนาด 4,000 เมกะวัตต์ โดยจะมีการสร้าง LNG Terminal

ขณะที่ในส่วนพลังงานไฟฟ้านั้น ในที่ประชุมเห็นด้วยให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และกระทรวงพลังงานของไทยหรือคณะทำงานของเมียนมาร่วมมือสร้างสายส่ง 115KV เข้าไปในโครงการทวาย โดยระยะเริ่มแรกให้ใช้ไฟฟ้าจากฝั่งไทยก่อน หลังจากที่โรงไฟฟ้าเกิดขึ้น หากมีกำลังการผลิตเหลือก็ขอให้ส่งให้ไทย

อย่างไรก็ดี แม้ว่าแผนแม่บทโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายได้รับความเห็นชอบในระดับนโยบายแล้ว แต่ญี่ปุ่นขอไปศึกษาในรายละเอียดและต้องการดูภาพรวมทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีการปรับปรุงแผนแม่บทดังกล่าว และอาจปรับระยะเวลาของแผนแม่บทจากเดิมที่กำหนดไว้ 20 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ