นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 36.29/31 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากช่วงเย็นวันศุกร์ที่ปิดตลาดที่ระดับ 36.36/38 บาท/ดอลลาร์
วันนี้เงินบาทอาจจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนช่วงนี้จับตาดูการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4/58 ของจีนในวันพรุ่งนี้
นักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 36.20-36.40 บาท/ดอลลาร์
ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 36.3150 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 3M(15 ม.ค.) อยู่ที่ 1.54625% และ THAI BAHT FIX 6M(15 ม.ค.) อยู่ที่ 1.58445%
- ปัจจัยสำคัญ
- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 117.25 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 117.45 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรเช้านี้อยู่ที่ระดับ 1.0899/0900 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวันศุกร์ที่ระดับ 1.0905 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 36.3120 บาท/ดอลลาร์
- แบงก์คาดค่าบาทสัปดาห์นี้แกว่งในกรอบ 36.20-36.50 บาท อ่อนค่าตามทิศทางเงินหยวนที่ยังมีความเป็นห่วงในการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
- แบงก์ชาติช่วยสร้างความมั่นใจ ระบุธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่เปราะบาง ชี้ภาพรวมเอ็นพีแอล-สินเชื่อเริ่มทรงตัว ผลจากมาตรการรัฐ แต่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป คาดไตรมาส 2 จะออกผล Stress test ของธนาคารพาณิชย์
- นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องว่า อยากเสนอให้ภาครัฐนำรายได้ส่วนต่างจากราคาน้ำมันที่ต้องปรับเพิ่มขึ้น มาจัดตั้งเป็นกองทุนดูแลสินค้าเกษตรแทน เช่น ราคาน้ำมันควรปรับลดลงอีกลิตรละ 1 บาท ก็ไม่ต้องปรับราคาลง แต่ให้นำเงินส่วนเกินของราคามาใส่ในกองทุนฯ ดังกล่าวแทน
- นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า หารือกับภาคเอกชนรายใหญ่ถึงสถานการณ์การส่งออกในปีนี้ โดยภาคเอกชนแจงแผนในการผลักดันการส่งออกให้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดเอกชนคาดการณ์ไว้ขยายตัว 2.2% เป็น 3% ดังนั้นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลขอความร่วมมือให้ภาคเอกชนกลับไปหา หรือในการผลักดันการส่งออกให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ 5%
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ส่งออกไทยเสี่ยงติดลบต่ำกว่าคาดการณ์ จากเศรษฐกิจจีนชะลอ กระทบทางตรง-ทางอ้อม เตือนรับมือสงครามค่าเงินหลังหยวนอ่อนค่าฉุดสกุลเงินทั้งภูมิภาคขณะผลสำรวจนักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนโตต่ำสุดรอบ 25 ปี
- สภาผู้ส่งออกฯ ห่วงจีนงัดมาตรการลดค่าเงินหยวน-ลดดอกเบี้ย แก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศกระทบส่งออกไทย สินค้าจากจีนจะเข้ามาชิงตลาดสินค้าไทยเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในตลาดเอเชียและอาเซียน ระบุหากเศรษฐกิจจีนไม่ฟื้นชัดส่งออกไทยไปจีนมีโอกาสลดลง 5% ด้านสภาอุตฯ และหันเจาะกำลังซื้อคนชั้นกลางหาตลาดใหม่ทดแทน
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ (15 ม.ค.) หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแรงลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนตัวผันผวน โดยได้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร แต่ก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับอีกหลายสกุลเงิน
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อวันศุกร์ (15 ม.ค.) โดยสัญญาน้ำมันดิ่งลงหลุดจากระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด หลังจากมีรายงานว่าอิหร่านเตรียมส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น และความเป็นไปได้ที่ว่าชาติมหาอำนาจอาจยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านโดยสิ้นเชิงภายในอีกไม่กี่วันนี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 1.78 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 29.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค.ที่ตลาดลอนดอน ลดลง 1.94 ดอลลาร์ หรือ 6.3% ปิดที่ 28.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรต่ออิหร่านที่เกี่ยวข้องกับโครงการนิวเคลียร์ โดยระบุว่าการที่อิหร่านได้ยุติโครงการนิวเคลียร์ ตามที่สำนักงานพลังงานปรมาณูสากล (IAEA) ยืนยันนั้น ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์เกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
- กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ร่วงลง 0.2% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจลดลง 0.2% ในเดือนพ.ย.2015 หลังจากปรับตัวลง 0.1% ในเดือนต.ค. โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า สต็อกสินค้าที่อ่อนแอจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4
- นักลงทุนจับตาดูท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า การเริ่มต้นกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดเป็นไปได้ด้วยดี แต่เขายังไม่สามารถระบุได้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดจะดำเนินการเร็วเพียงใดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อๆไป