ขณะเดียวกันยังมีเอกชนที่อยู่ในบัญชีดำ (แบล็คลิสต์) ซึ่งทำผิดสัญญาของ อคส.ในด้านต่างๆ เช่น ปล่อยให้ข้าวเสื่อมสภาพซึ่งต้องชำระค่าเสียหายให้ อคส. มูลค่ารวม 456 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่ายให้หมด คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์นับจากนี้ โดยเงินที่จะใช้หนี้ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของ อคส.ที่เตรียมไว้แล้ว อีกส่วนหนึ่งได้ทำหนังสือขอไปยังสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งสัปดาห์หน้าจะไปหารือเรื่องดังกล่าว
"ผมตั้งใจจะเคลียร์ปัญหาหนี้คงค้าง ไม่ว่า อคส.ค้างค่ารมยา หรือค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาข้าว หรือมันสำปะหลัง ที่เป็นปัญหาค้างคามาหลายปีตั้งแต่ปี 51 รวมหลายพันล้านบาท ให้เสร็จภายในปีนี้ เพื่อให้ อคส.สามารถเดินหน้าดำเนินธุรกิจใหม่ๆ ได้ ซึ่งเอกชนพอใจที่จะสะสางกันให้จบ ถือเป็นหน้าที่ของผม" พล.ต.ต.ไกรบุญ กล่าว
ประธานบอร์ด อคส. กล่าวว่า ในวันที่ 26 ก.พ.นี้จะหารือกับบริษัทเซอร์เวเยอร์ และเจ้าของโกดังข้าวที่รัฐฝากเก็บ เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องการชำระค่าเช่าโกดัง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมถึงประเด็นที่มีข้อร้องเรียนว่าเซอร์เวเยอร์ไม่ยอมเปิดโกดังให้ผู้ชนะประมูลข้าวของรัฐบาลเข้าไปรับมอบข้าวด้วย
ส่วนการผลิตข้าวสารบรรจุถุงเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา ที่เดือดร้อนจากราคายางพาราตกต่ำ จำนวน 802,000 ครัวเรือนๆ ละ 25 กิโลกรัม (กก.) รวม 30,000 ตันนั้น ได้ข้อสรุปว่า สมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย จะเป็นผู้รับจ้างผลิต โดย อคส.จะจ่ายค่าจ้างให้เป็นข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล 30,000 ตัน และจะผลิตถุงละ 25 กก. เพราะต้นทุนการผลิตต่ำกว่าถุงละ 25 กก. และในวันที่ 23 ก.พ.นี้ จะหารือกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระจายข้าวถุงไปยังเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราต่อไป คาดจะเริ่มแจกจ่ายให้ได้ในเร็วๆ นี้