(เพิ่มเติม) ค่ายรถใหญ่พบนายกฯ เสนอแผนพัฒนาอุตสาหกรรม-เพิ่มสิทธิประโยชน์ใน FTA

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 7, 2016 14:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หารือกับกลุ่มริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์ ประกอบด้วย กลุ่มบริษัทอีซูซุ, โตโยต้า, นิสสัน และฮอนด้า

นายโทชิอากิ มาเอคาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชร อีซูซุเซลส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังการหารือว่า กลุ่มบริษัทอีซูซุ ได้ยื่นข้อเสนอแผนการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เช่น แนวทางสิทธิประโยชน์ด้านภาษีในกลุ่มรถยนปิ๊กอัพที่ใช้ดีเซล การเพิ่มสิทธิประโยชน์เขตการค้าเสรี (FTA) ให้มากขึ้น และปรับเปลี่ยนระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐที่เมื่อก่อนให้ cc. เป็นตัวกำหนด ซึ่งมองว่าไม่ทันกับเหตุการณ์ของโลก แต่ควรมองในเรื่องประสิทธิภาพของเครื่องยนต์มากกว่า เช่นเดียวกับต่างประเทศที่มีการปรับเปลี่ยนตามแนวทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก รวมถึงการพัฒนาระบบการขนส่งทางเรือที่แหลมฉบัง

โดยนายกรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอของกลุ่มบริษัทอีซูซุ พร้อมกับชี้แจงถึงแนวทางการปฎิบัติงานของรัฐบาลในปีนี้ และแผนรองรับอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่น และพร้อมที่จะเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทอีซูซุ มีแผนที่จะพัฒนารถปิ๊กอัพไฮบริดต่อไป แม้แนวโน้มตลาดรถยนต์ในไทยโดยรวมจะหดจากยอดเดิม 8 แสนคันต่อปี เหลือ 7.2-7.3 แสนคันต่อปี แต่ยังมองว่าไทยเป็นตลาดที่สำคัญ และหวังว่าจะมีส่วนแบ่งของตลาดรถยนต์โดยรวมทั้งหมด 18% ส่วนตลาดส่งออกกลุ่มบริษัทตั้งเป้า 1.85 - 1.9 แสนคันต่อปี ซึ่งอัตรากำลังผลิตของริษัทสามารถผลิตได้สูงสุด 3.5 แสนคันต่อปี

ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณผู้บริหารและบริษัทแม่ที่บริษัทญี่ปุ่น ที่ยังคงไว้วางใจประเทศไทยในการเป็นฐานการผลิตและการลงทุนรถยนต์ ขอให้เชื่อมั่นในทีมเศรษฐกิจชุดปัจจุบัน และย้ำว่า รัฐบาลมีนโนยายสนับสนุนการค้าที่เสรีและเป็นธรรม และสนับสนุนการลงทุนของต่างชาติในไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมในไทยขึ้นสู่สากล

ในเรื่องรถยนต์แห่งอนาคต เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยอยากเห็นการลงทุนเกิดขึ้นภายในปี 2560 และให้ทำแผนพัฒนาร่วมกันสำหรับ 5 ปี และ 20 ปี โดยรัฐบาลพร้อมจะให้การสนับสนุนด้านต่าง ๆ ทั้งการส่งเสริมการลงทุนและด้านการเงิน การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาบุคลากรให้รองรับอุตสาหกรรมสมัยใหม่ และการเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยได้มอบกระทรวงอุตสาหกรรมให้เป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายรถแห่งอนาคต เช่น รถไฮบริด และรถไฟฟ้า ทั้งนี้ จะสานต่อนโยบายสนับสนุนรถ Eco-car อยู่ เพียงแต่ให้มองไปไกลถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้วย

นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวสนับสนุนการให้รถสมัยใหม่ โดยประเด็นสำคัญ คือ การช่วยลดภาวะก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศได้มีข้อผูกพันระหว่างประเทศไว้ ซึ่งเป็นไปตามแผนงาน/แผนการลงทุนของบริษัทต่างๆ ที่ต้องการผลิตรถยนต์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อลดภาวะก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ต้องการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น bio-diesel หรือ etanol เพราะจะช่วยดึงราคาและหาตลาดให้ผลผลิตสินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ปาล์มน้ำมัน อ้อย มากขึ้น จึงพร้อมจะพิจารณาการขยายการสนับสนุนให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมกับรถปิคอัพที่ใช้ bio-diesel ด้วย และจะหาแนวทางสนับสนุนให้ขยายไปใช้น้ำมัน B20 เพิ่มเติมจาก B10 B15 ในปัจจุบัน

นายกฯ ย้ำว่า ไทยยังเดินหน้าเปิดตลาดกับต่างประเทศภายใต้ FTA ที่มีอยู่ และจะเจรจาเพิ่มเติม โดยมีตลาดเป้าหมายใหม่คือ ตลาดตะวันออกกลาง อาฟริกา ประเทศหมู่เกาะ ตลาดมุสลิม และกำลังขยายความสัมพันธ์กับประเทศใหม่ ๆ เช่น รัสเซีย และกลุ่ม Eurasia จึงอยากให้บริษัทรถยนต์รับทราบและกำหนดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของไทย

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ในปี 58 แม้ว่าการส่งออกของไทยจะหดตัวลง แต่ประเทศไทยสามารถส่งออกรถได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือ กว่า 1.2 ล้านคัน มีมูลค่าการส่งออก 17,586 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หากรวมอุปกรณ์และชิ้นส่วนด้วยจะมีมูลค่า 25,608 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดิม 5.3% โดย Product Champion ของไทยยังคงเป็น รถปิกอัพ ขณะที่รถยนต์นั่งขนาดเล็กหรือรถ ECO Car มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งเป็นผลจากการที่ค่ายรถยนต์หลายค่ายเลือกใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกรถ Eco Car ในภูมิภาค

สำหรับตลาดส่งออกรถยนต์ที่สำคัญใน 10 อันดับแรกคือประเทศในกลุ่ม อาเซียน ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง นิวซีแลนด์ เม๊กซิโก สำหรับในเดือนม.ค.59 การส่งออกรถยนต์และส่วนประกอบมีมูลค่า 1,933 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยส่งออกรถยนต์ 93,714 คัน การขยายตัวการส่งออกรถยนต์นั่งในเดือนม.ค.สูงถึง 85% ทั้งนี้ เป้าหมายการส่งออกรถในปี 2559 นี้ คาดว่าประมาณ คือ 1.25 ล้านคัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ