ร.อ.สุทธินันท์ หัตถวงษ์ ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ในปี 59 กทท. มีโครงการลงทุนสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ โครงการพัฒนาศูนย์การขนส่งตู้สินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง (Single Rail Transfer Operator : SRTO) งบลงทุนรวม 2,944.93 ล้านบาท อยู่ระหว่างเตรียมการประมูลราคา โดยในวันที่ 25 มี.ค.59 จะเปิดประมูลราคาด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ซึ่งมีผู้มีสิทธิประมูลราคา 2 ราย จากผู้ที่ยื่นซองประมูลมา 4 ราย ทั้งนี้ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะเปิดดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2561 โดยมีระยะเวลาก่อสร้าง 18 เดือน
ทั้งนี้ โครงการ STRO จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าได้ 2 ล้านTEU/ปี สามารถขนถ่ายตู้สินค้าได้ 6 ราง ในเวลาเดียวกันทำให้มีพัฒนาการเชื่อมกับการขนส่งตู้สินค้าทางรางให้เกิดความสะดวกและนำเทคโนโลยีมาใช้บริการเพิ่มขึ้น เพื่อลดขั้นตอนและเวลาในการให้บริการในท่าเรือและการขนถ่ายตู้สินค้าได้รวดเร็ว
นอกจากนี้ กทท.ยังมีโครงการพัฒนาพื้นที่ขนาด 17 ไร่ บริเวณด้านข้างอาคารที่ทำการ กทท.ปัจจุบันให้เป็นศูนย์ธุรกิจพาณิชยนาวี มูลค่าลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดย กทท.ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่ในรูปแบบให้เอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาและบริหารจัดการตลอดอายุสัญญา แต่เมื่อครบกำหนดสัญญาต้องโอนทรัพย์สินให้แก่ กทท. ซึ่ง กทท.จะนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ก่อนเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) พิจารณา
ร.อ.สุทธินันท์ กล่าวว่า กทท.ยังมีแผนนำพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพ ประมาณ 500 ไร่ มาพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนอยู่ราว 20 ชุมชน เพื่อให้ย้ายที่อยู่ออกไปก่อน จากนั้นทาง กทท.จะสร้างที่อยู่อาศัยหรือแฟลตให้ใหม่เพื่อทดแทนชุมชนเดิมและให้เช่าในราคาถูก ซึ่งเบื้องต้นที่ได้เข้าไปพูดคุยแล้วทางชุมชนแต่ละแห่งก็ไม่ขัดข้อง ปัจจุบันพื้นที่ท่าเรือกรุงเทพมีจำนวน 2,000 ไร่ แต่ใช้พื้นที่สำหรับกิจการของ กทท.เพียง 700 ไร่ ดังนั้น จึงเห็นว่า กทท.มีโอกาสนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
"เป็นโครงการใหญ่มาก เราต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐบาล ซึ่งอาจจะใช้เวลาศึกษา 1 ปี และชี้แจงทำประชาพิจารณ์อย่างน้อยใช้เวลา 2 ปี" ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวส่วนโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือชายฝั่ง (ท่าเทียบเรือ A) ท่าเรือแหลมฉบัง งบลงทุนรวม 1,864.19 ล้านบาท ขณะนี้ลงนามสัญญากับผู้รับจ้างแล้ว โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 23 เดือน คาดว่าจะสามารถเปิดบริการปีงบประมาณ 2561 ทั้งนี้ โครงการนี้มีความสามารถรองรับขนาดระวางบรรทุก 3,000 DWT ขนตู้สินค้าได้คราวละ 200 TEU และ ขนาด 1,000 DWT ขนตู้สินค้าได้คราวละ 100 TEU ได้อย่างละ 1 ลำ พร้อมทั้งติดตั้งปั้นจั่นหน้าท่า และปั่นจั่นจัดเรียงตู้สินค้าในลานเพื่อให้สามารถรับตู้สินค้าได้ถึง 300,000 TEU/ปี ซึ่งจะช่วยสนับสนุนท่าเรือขนส่งสินค้าทางลำน้ำของเอกชน ช่วยให้การบริหารจัดการท่าเรือแหลมฉบังมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
ผู้ว่าการ กทท. คาดว่าในปีนี้ ปริมาณขนส่งสินค้าจะเติบโต 5% โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีงบประมาณ 59 ปริมาณขนส่งสินค้าเติบโตเฉลี่ย 2% โดยท่าเรือกรุงเทพเติบโตลดลง 4% ขณะที่ท่าเรือแหลมฉบังมีอัตราเติบโต 3% ทั้งนี้ เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทยที่ยังเติบโตได้ดี คือกลุ่มยานยนต์ แม้ว่าการส่งออกรถยนต์ทั้งคันจะเติบโตไม่มาก หรือเพียง 2-3% แต่การส่งออกชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์เติบโตอย่างมาก