(เพิ่มเติม) สรรพากรแนะร้านทองจดทะเบียนนิติบุคคล มั่นใจช่วยลดภาระด้านภาษีอากร

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday May 22, 2016 17:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวในงานสัมมนา "โอกาสทอง ร้านทองเปลี่ยนผ่านสู่นิติบุคคล" โดยระบุว่า กรมสรรพากรมีนโยบายเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องภาษีอากรและการจัดทำบัญชีเล่มเดียวให้ถูกต้อง รวมทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการร้านทองเปลี่ยนผ่านจากบุคคลธรรมดาสู่นิติบุคคล เพื่อประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ และปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง จึงขอเชิญชวนให้ผู้ประกอบการร้านทองคำทั้ง 7,000 กว่าแห่งทั่วประเทศที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้เข้ามาจดทะเบียนเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งผู้ประกอบการร้านทองที่เป็นนิติบุคคล จะได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ประกอบการที่เป็นบุคคลธรรมดา ดังนี้

1. ฐานภาษี กรณีเป็นบุคคลธรรมดาเสียภาษีจากฐานเงินได้พึงประเมินสุทธิ ถ้าเป็นนิติบุคคลเสียภาษีจากฐานกำไรสุทธิ ซึ่งจะเสียภาษีต่อเมื่อมีกำไรสุทธิทางภาษีเท่านั้น หากขาดทุนสุทธิไม่ต้องเสียภาษี เช่น ในกรณีที่ราคาทองคำลดลง หรือกรณีร้านทองถูกปล้นจะทำให้สูญเสียทองคำ ถ้าเป็นนิติบุคคลสามารถนำผลขาดทุนจากราคาทอง หรือความสูญเสียจากการถูกปล้นมาลงบัญชีเป็นค่าใช้จ่ายได้ทำให้ลดภาระด้านภาษี ซึ่งสามารถนำผลขาดทุนสุทธิยกมาไม่เกิน 5 ปี ก่อนรอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้ ในขณะที่ผู้ประกอบการบุคคลธรรมดาไม่สามารถทำได้

2. อัตราภาษี กรณีบุคคลธรรมดาเสียภาษีตามขั้นบันไดตามเงินได้สุทธิ ตั้งแต่ร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 35 แต่นิติบุคคลเสียภาษีจากกำไรสุทธิ ถ้าเป็นนิติบุคคลทั่วไปเสียภาษีทั้งจำนวนในอัตราร้อยละ 20 ส่วนนิติบุคคลที่เป็น SMEs มีกำไรสุทธิไม่เกิน 300,000 บาท ได้รับยกเว้นภาษี หากมีกำไรสุทธิเกิน 300,000 บาทขึ้นไป เสียภาษีร้อยละ 10

3. การจัดทำบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี

  • กรณีบุคคลธรรมดา ไม่ต้องจัดทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ทำให้ขาดข้อมูลทางบัญชีในเชิงการบริหารจัดการและการดำเนินธุรกิจ และมีความเสี่ยงตามกฎหมายของกรมสรรพากรเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาญาฐานหลีกเหลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีที่เข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินด้วย
  • กรณีนิติบุคคล ต้องจัดทำบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ทำให้มีข้อมูลทางบัญชีที่น่าเชื่อถือในแต่ละธุรกรรมไม่มีความเสี่ยงตามกฎหมายสรรพากรเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาญาฐานหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีที่เข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินด้วย หากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเป็นนิติบุคคล จะช่วยให้ทั้งสองฝ่ายมีหลักฐานที่ถูกต้องทั้งด้านบัญชีและภาษีอากร โดยเฉพาะในฝั่งผู้ซื้อจะมีข้อมูลรายจ่ายที่ถูกต้องสมบูรณ์

4. การจัดทำบัญชีเล่มเดียวให้ถูกต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของกิจการ จะทำให้รู้สภาพปัจจุบันของธุรกิจ ด้านกำไร ขาดทุน ต้นทุน ช่วยแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายได้ตรงจุด เป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการขอกู้เงินจากธนาคาร ช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายจากการสนับสนุนของภาครัฐและภาคธนาคาร และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ผู้ประกอบการต้องใช้บัญชีและงบการเงินที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแสดงต่อกรมสรรพากร เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมทางการเงิน และขออนุมัติสินเชื่อกับสถาบันการเงินด้วย

5. ความรับผิดในหนี้ กรณีบุคคลธรรมดา บุคคลที่เป็นเจ้าของต้องรับผิดไม่จำกัด ส่วนนิติบุคคล กรณีที่เป็นบริษัทจำกัด ผู้ถือหุ้นทุกคนมีความรับผิดจำกัด เพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ยังส่งใช้ไม่ครบตามมูลค่าของหุ้นที่ถือ แต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีทั้งหุ้นส่วนจำพวกจำกัดความรับผิด และหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด

6. ในปี พ.ศ.2559 กระทรวงการคลังจะนำระบบการชำระเงินแบบอิเล็คทรอนิคส์ (e - Payment) มาใช้ในประเทศไทย โดยจะเริ่มเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนในระบบ e – Payment ที่ธนาคารของรัฐทุกแห่ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ซึ่งระบบนี้จะช่วยให้กรมสรรพากรสามารถเชื่อมโยงข้อมูลทุกรายการที่มีการซื้อและขาย ทำให้สามารถประเมินถึงรายรับและรายจ่ายของผู้ประกอบธุรกิจ ผู้ประกอบการจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่สรรพากรก็จะมีข้อมูลจริงของผู้ประกอบการมากขึ้น

อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า การเสียภาษีต่างๆ ทั้งหมด จะเชื่อมโยงกับระบบ e - Payment ที่รัฐบาลกำลังดำเนินอยู่ ซึ่งจะมีข้อมูลการซื้อขายผ่านเครื่องรูดบัตรอัตโนมัติ ทำให้กรมสรรพากรสามารถตรวจสอบปริมาณการซื้อขายและรายได้ของภาคธุรกิจที่แท้จริงได้ ดังนั้นผู้ประกอบการควรยื่นภาษีให้ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งจะเริ่มต้นภายในวันที่ 1 มิ.ย.นี้

"จะให้ผู้ค้าทองรายใหญ่ 75 ราย จากทั้งหมด 7,000 รายทั่วประเทศ นำร่องออกใบกำกับภาษีในการซื้อขายทองคำ เพื่อให้เข้าสู่ระบบภาษีในระยะแรกก่อน ซึ่งหากในอนาคตภาคธุรกิจทั้งหมดเข้าสู่ระบบ e - Payment ได้ จะทำให้ลดต้นทุนของประเทศลงได้ 7.5 หมื่นล้านบาท และจะส่งผลดีต่อจีดีพีประเทศไปด้วย" นายประสงค์ กล่าว

พร้อมระบุว่า ในอนาคตกรมสรรพากรจะประสานงานกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เพื่อดึงภาคธุรกิจทุกประเภทเข้าสู่ระบบภาษี เพราะมองว่าการเป็นนิติบุคคลจะเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าการทำธุรกิจและจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ด้านนายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ ยอมรับว่า ผู้ประกอบการร้านค้าทองยังกังวลเกี่ยวกับการเสียภาษีจากที่เคยจ่ายส่วนของเงินได้บุคคลธรรมดา มาเป็นเงินได้นิติบุคคลที่ยังมีข้อสงสัยในหลายประเด็น แต่อย่างไรก็ดี พร้อมที่จะดำเนินการตามข้อแนะนำจากกรมสรรพากร และสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมือในการทำบัญชีเดียวตามที่กรมสรรพากรต้องการ และเชื่อว่าหากร้านค้าทองคำเข้าสู่ระบบชำระภาษีถูกต้อง ก็จะทำให้เสียภาษีลดลงกว่าที่เคยเสียอยู่ในปัจจุบันด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ