นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังกล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า การขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชน จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งหลังของปีนี้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3% จากครึ่งปีแรกเติบโตมาแล้วราว 3% และต่อเนื่องไปถึงปีหน้าที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ถึง 4%
"มั่นใจว่าการลงทุนของภาคเอกชนในครึ่งปีหลังค่อนข้างจะดี แม้ว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกยังไม่ดีนักและมีความไม่แน่นนอนสูง แต่เชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้ GDP ขยับตัวดีขึ้นน่าจะได้เกิน 3% และส่งผลดีถึงปีหน้าถ้าเป็นไปตามแผนคาดโต 4%"รมว.คลัง กล่าว
สำหรับโครงการลงทุนทั้งโครงสร้างพื้นฐาน และการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ถือว่าขับเคลื่อนไปได้ดี ซึ่งจากการติดตามการลงทุนในส่วนโครงสร้างพื้นฐานคาดว่าจะปีนี้จะสามารถขับเคลื่อนได้อย่างน้อย 18-19 โครงการ จากทั้งหมด 20 โครงการ ที่มีมูลค่าการลงทุนราว 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งอาจจะมี 1-2 โครงการที่ยังขัดอยู่ อาทิ โครงการความร่วมมือรถไฟไทย-จีนที่ยังอยู่ระหว่างเจรจา แต่โครงการส่วนใหญ่คาดว่าจะเริ่มทยอยลงนามได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/59 จึงส่งผลทำให้ปีหน้าเป็นช่วงจังหวะที่ดี เพราะทำให้เกิดการลงทุนต่อเนื่องไปอีก 2-3 ปี และจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจโดยตลอด
ขณะที่โครงการลงทุนของภาคเอกชนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้มีผู้มาขอรับการส่งเสริมกว่าเท่าตัว จำนวนโครงการเพิ่มเป็น 700 กว่ารายจาก 300 รายในช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้น 3 เท่า และเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ซึ่งหากเทียบอาเซียนถือว่าอยู่ในระดับที่สูง จะเป็นรองเพียงมาเลเซียและสิงคโปร์เท่านั้น
พร้อมคาดว่าเงินลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งปีหลังจะมีประมาณ 4 แสนล้านบาทเป็นอย่างน้อย
ส่วนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในช่วงครึ่งปีแรกมีสมัครเข้ามาแล้ว 17 โครงการ มูลค่าลงทุนประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ตามความต้องการของรรัฐบาล
รมว.คลัง กล่าวถึงส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยมองว่ายังมีความจำเป็นที่อาจต้องออกเป็นครั้งคราวเพื่อช่วยเหลือในส่วน Sector ที่ยังประสบปัญหาต่าง ๆ อาทิ ภัยแล้ง เป็นต้น