ก.เกษตรฯ ตั้งจุดรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิ-จัดกิจกรรมช่วยระบายผลผลิต,มธ.เปิดพื้นที่ชาวนาขายข้าว

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 2, 2016 16:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า กระทรวงฯได้เร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วนด้วยการใช้กลไกของสหกรณ์ในการรับซื้อข้าวเปลือกหอมมะลิจากชาวนามาทำการสี บรรจุถุง และเป็นศูนย์กระจายสินค้าไปยังผู้บริโภคให้ได้เลือกซื้อข้าวพันธุ์ดี มีคุณภาพจากชาวนาโดยตรง ซึ่งขณะนี้ได้เปิดจุดรับซื้อข้าวเปลือกแล้ว 2 จุด คือ สหกรณ์การเกษตรพิมาย จ.นครราชสีมา และสหกรณ์การเกษตรเกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

ขณะที่นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ ได้มีการประชุมผู้บริหารสหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการชะลอการขายข้าวเปลือก 2559/60 ในระบบสหกรณ์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยเน้นให้สหกรณ์เตรียมความพร้อมในการบริหารจัดการสต็อกข้าวร่วมกับภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีการตรวจติดตามในวันที่ 7 พ.ย.นี้

รวมทั้งเตรียมความพร้อมในด้านการกระจายสินค้าผ่านศูนย์กระจายสินค้าหลัก 24 ศูนย์ และศูนย์ย่อยอีกกว่า 120 ศูนย์ทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในการกระจายสินค้าที่มีคุณภาพไปสู่ผู้บริโภคภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง ซึ่งจะช่วยเปิดตลาดใหม่และสร้างระบบการตลาดที่มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน

ด้านนายกมลวิศว์ แก้วแฝก ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวว่า อ.ต.ก.เตรียมจัด “เทศกาลข้าวไทยร่วมใจช่วยชาวนา" ระหว่างวันที่ 5 – 23 พฤศจิกายนนี้ เพื่อเป็นช่องทางในการเร่งระบายผลผลิตข้าวที่ออกสู่ตลาดในปริมาณมาก โดยตรงในรูปแบบทั้งปลีกและส่ง พร้อมทั้งได้รณรงค์ให้หน่วยงานราชการ ร้านค้า ประชาชน มอบข้าวเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ผู้บริโภคที่สนใจสามารถสั่งซื้อผ่านเวปไซต์ Ortorkor.com ได้อีกด้วย

"คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นอีกในช่วงหลังวันที่ 10 พฤศจิกายนเป็นต้นไป"นายกมลวิศว์ กล่าว

ส่วนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ สภาพนักงานมหาวิทยาลัย มธ. จัดกิจกรรมการเปิดพื้นที่นำร่องให้ชาวนาเครือข่ายขายข้าวตรงสู่ผู้บริโภคโดยในระยะแรกจะมีเครือข่ายชาวนาจากจังหวัดปทุมธานี สุพรรณบุรี และลพบุรี นำข้าวมาจำหน่ายถึงมือผู้บริโภคเป็นจำนวนกว่า 2 ตัน

ทั้งนี้ ภายในยังมีการนำเสนอมุมมองจากนักวิชาการด้านการบริหารธุรกิจ โดยแนะทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขสภาวะราคาข้าวตกต่ำรวมถึงการบูรณาการองค์ความรู้และหลักการบริหารจัดการ โดย “ภาคเกษตรกร” ควรรวมตัวเป็นเครือข่ายหรือเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและสร้างโอกาสทางการแข่งขัน “ภาครัฐบาล” ควรเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการจัดตั้งโรงสีข้าวภายในชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการขจัดการเกิดปัญหาเกษตรกรถูกโรงสีข้าวกดราคา “ภาคการศึกษา” ควรเข้ามามีบทบาทในการถ่ายทอดองค์ความรู้และร่วมพัฒนาสินค้าของเกษตรกรและชาวนาไทย และ “ภาคประชาชน” ควรมีส่วนร่วมในการสนับสนุนในการซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวโดยตรงจากชาวนาไทย ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยมีเครือข่ายชาวนาร่วมงานจำนวนมาก

ส่วนในอนาคตเตรียมส่งเสริมให้นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยชาวนาในการพัฒนาและบริหารการตลาดออนไลน์สำหรับผลิตภัณฑ์ข้าวผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ในหลักสูตรการพัฒนาชุมชน อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาทางวิทยาลัยฯ ได้สร้างศูนย์เรียนรู้ด้านอาหาร พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาร่วมอบรมและเรียนรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรในรูปแบบต่างๆ อาทิ การทำไบโอแก๊ส (Biogas) การปลูกผักแบบเกษตรอินทรีย์ และการทำบ้านดิน เป็นต้น

นายสุทธิกร กิ่งแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวเสริมว่า สภาวะราคาข้าวตกต่ำเป็นปัญหาที่เกิดซ้ำแทบทุกปี ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพในองค์รวม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไข รวมถึงปัจจุบันระบบการขายข้าวของไทย ไม่มีการรวบรวมข้อมูลอุปสงค์และอุปทานของการผลิตข้าวอย่างแม่นยำ จึงทำให้กระทบต่อราคาการขาย ผู้ซื้อจึงจำเป็นต้องรับซื้อราคาต่ำ เพื่อป้องกันการขาดทุนของตนเอง ทำให้ผลกระทบตกอยู่ที่ภาคการเกษตรที่ต้องแบกรับปัญหาเหล่านั้น

ดังนั้น ภาครัฐควรจัดระบบอุปสงค์ และอุปทานของข้าว กำหนดจำนวนการปลูก จำนวนการขาย ประเภทการขาย โดยใช้การบูรณาการองค์ความรู้และหลักการบริหารจัดการ ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ภาคเกษตรกร ชาวนาไทยในแต่ละชุมชนควรรวมตัวเป็นเครือข่ายหรือเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง และสร้างโอกาสทางการแข่งขัน ควบคู่ไปกับสร้างคุณค่าให้กับข้าวในแต่ละท้องถิ่นด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อยกระดับจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) เป็นสินค้าพรีเมี่ยม ผ่านการสร้างแบรนด์ (Branding) การสร้างเรื่องราวและความแตกต่างให้กับสินค้า การสร้างรูปลักษณ์หรือแพ็คเกจจิ้ง (Packaging) เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าข้าวของเกษตรกร ควบคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นในใจของผู้บริโภค

ภาครัฐบาล หน่วยงานภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทในการผลักดันการจัดตั้งโรงสีข้าวที่มีประสิทธิภาพสูงภายในชุมชนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการขจัดการเกิดปัญหาเกษตรกรถูกโรงสีข้าวกดราคา อีกทั้งควรให้การสนับสนุนช่องทางการกระจายสินค้าข้าวให้ถึงมือผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยให้เกิดระบบการกระจายสินค้าผ่านการขนส่งโดยไปรษณีย์ไทยที่สามารถส่งตรงผู้บริโภคได้ถึงหน้าบ้านในราคาถูก ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดข้อจำกัดปัจจุบันของการส่งสินค้าของชาวนาไทยที่มีต้นทุนสูงในการกระจายสินค้าตรงถึงมือผู้บริโภค และช่วยลดการพึ่งพากลไกการกระจายสินค้าผ่านโรงสีและพ่อค้าคนกลาง

ส่วนภาคการศึกษา สถาบันการศึกษา หรือบุคคลกรทางการศึกษาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทย ทั้งในส่วนการพัฒนามาตรฐานและการตรวจสอบคุณภาพของข้าวการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน นอกเหนือจากด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีแล้วยังมีด้านบริหารธุรกิจที่ควรได้รับการพัฒนา การบริหารจัดการ การตลาด การบริหารความเสี่ยง หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งหมดนี้สถาบันการศึกษาควรที่จะเข้ามามีบทบาทในการถ่ายทอดองค์ความรู้และร่วมพัฒนาสินค้าของชาวนาไทย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ข้าวจากชาวนาไทย อันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่ภาคประชาชน ประชาชนไทยควรมีส่วนร่วมในการสนับสนุนในการซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวโดยตรงจากชาวนาไทยโดยในปัจจุบันปริมาณข้าวสารร้อยละ 60 ของการผลิตทั้งหมดจะถูกบริโภคภายในประเทศ ซึ่งปริมาณการบริโภคข้าวภายในประเทศในสัดส่วนที่สูง ถือว่าเป็นโอกาสที่ผู้บริโภคในประเทศจะมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มผ่านการซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวโดยตรงจากชาวนาไทย นอกเหนือจากนั้น ข้าวมูลค่าสูงอย่างข้าวหอมมะลิที่เป็นที่นิยมของตลาดในประเทศ ยังมีการบริโภคภายในประเทศสูงถึงประมาณร้อยละ 60 ของผลผลิตข้าวหอมมะลิ ซึ่งบ่งบอกถึงพฤติกรรมการกินข้าวของคนไทยที่เลือกจากความพึงพอใจในรสชาติและคุณภาพของสินค้า และเป็นโอกาสสำหรับกลุ่มชาวนาไทยในการพัฒนาตลาดผลิตภัณฑ์ข้าวมูลค่าสูงที่มีคุณลักษณะและคุณประโยชน์อย่างหลากหลาย

นายจิตติ มงคลชัยอรัญญา คณบดีวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มธ. กล่าวถึงสำหรับสถานการณ์ข้าวของชาวนาไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 59 พบว่า ประเทศไทยมีกำลังผลิตข้าวได้กว่า 6 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการส่งออกรวมกว่า 9.6 หมื่นล้านบาท (ข้อมูลจาก กระทรวงพาณิชย์) แต่กลับพบว่าชาวนาไทยประสบปัญหาข้าวราคาตกต่ำเป็นอย่างมาก อันเนื่องมาจากการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางผู้รับซื้อข้าว และโรงสีข้าวในพื้นที่ชุมชนที่มีจำนวนน้อยซึ่งยังผลให้ล่าสุด ชาวนาไทยสามารถขายข้าวสารได้ในราคาเพียง 5,000 บาทต่อตัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ