นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 34.92 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่า จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 35.02/03 บาท/ดอลลาร์
เช้านี้เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังมีแรงเทขายดอลลาร์ ออกมา ถึงแม้ที่ประชุมคณะกรรมการกลางกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ตาม เดิม และส่งสัญญานว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าก็ตาม
แต่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดอลลาร์ มาจากเรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่นายโดนัล ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน มีคะแนนนิยมตีตื้นนางฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ในช่วงโค้งสุดท้าย ทำให้นักลงทุน เกรงว่าผลเลือกตั้งจะออกมาพลิกความคาดหมายเหมือนกรณี Brexit
"เงินบาทแข็งค่าจากเย็นวานนี้ 10 สตางค์ หลังดอลลาร์อ่อนค่า เนื่องจากมีแรงเทขายออกมา ทิศทางวันนี้น่าจะแกว่ง ตัวในกรอบที่คาดไว้" นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ไว้ที่ 34.90-35.00 บาท/ดอลลาร์
ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 34.9467 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 3M (2 พ.ย.) อยู่ที่ระดับ 1.36568% ส่วน THAI BAHT FIX 6M (2 พ.ย.) อยู่ที่ระดับ 1.55527%
- ปัจจัยสำคัญ
- เช้านี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 103.31 เยน/ดอลลาร์ จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 103.55 เยน/ดอลาร์
- ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1104 ดอลลาร์/ยูโร จากเย็นวานนี้ที่ระดับ 1.1076 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของธปท.อยู่ที่ระดับ 35.054 บาท/ดอลลาร์
- สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (2 พ.ย.) เนื่อง
- คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติด้วยคะแนนเสียง 8-2 ในการ
- นักลงทุนจับตากระทรวงแรงงานสหรัฐ ซึ่งจะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์นี้ โดยตัวเลขดัง
- บริษัทมาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ภาคการผลิตของยูโรโซนมีการขยายตัวที่แข็ง
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงาน
- ตลาดน้ำมันนิวยอร์ก ได้รับแรงกดดันจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันประจำเดือนต.ค.ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออก
- ผลการสำรวจของ Pepperdine Graziadio School of Business and Management พบว่า เจ้าของธุรกิจ
รายย่อย 38% มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผู้ที่จะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของพวกเขา
โดยสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่าดัชนีความไม่แน่นอนได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 42 ปี ทั้งนี้ความไม่แน่นอนทาง
การเมืองเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เจ้าของธุรกิจรายย่อยไม่ต้องการขยายกิจการในขณะนี้