กกพ.ยืนยันขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. สะท้อนต้นทุนแท้จริง-เป็นธรรมกับทุกฝ่าย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 3, 2017 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. แถลงยืนยันการขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.60 จำนวน 12.52 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าเอฟทีในงวดดังกล่าวอยู่ที่ระดับ -24.77 สตางค์/หน่วยนั้น เป็นการปรับขึ้นสะท้อนต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่แท้จริง ซึ่งได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นค่าเอฟทีครั้งนี้ก็มีความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

การปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่นี้ เมื่อรวมกับค่าไฟฟ้าฐานจะมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภทอยู่ที่ 3.5079 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้น 3.70% จากค่าไฟฟ้าในงวดก่อนหน้า (ม.ค.-เม.ย.60) ซึ่งการปรับขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่ ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมจึงมีการปรับขึ้นค่าเอฟที ทั้งที่ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง หรือมีการแบกภาระการรับซื้อพลังงานทดแทนที่มากเกินไป

"กกพ. ขอตอบข้อสงสัยในประเด็นราคาก๊าซฯว่า ราคาก๊าซปากหลุมจากอ่าวไทยในช่วงต้นปี เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ เป็นช่วงขาลงจริง แต่ราคาก๊าซฯจะอ้างอิงราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง ประมาณ 8-12 เดือน ราคาก๊าซฯจึงมีการปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป ดังนั้น ในช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคม จึงเป็นช่วงขาขึ้นของราคาก๊าซฯ"นายวีระพล กล่าว

นายวีระพล กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นราคาก๊าซฯที่นำไปคิดค่าไฟฟ้า กกพ. ต้องดูราคาก๊าซฯทั้งหมด ที่เรียกว่าราคา Pool ซึ่งประกอบด้วย ก๊าซฯจากอ่าวไทยและเมียนมา รวมถึงนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และก๊าซฯจากแหล่งบนบกในประเทศ เช่น น้ำพอง หรือลานกระบือ ซึ่งราคา Pool ที่ใช้คำนวณเป็นช่วงขาขึ้นเท่ากับ 210 บาท/ล้านบีทียู ในช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.60 ซึ่งเมื่อรวมค่าผ่านท่อและค่าดำเนินการจัดหาด้วย จึงทำให้ราคาในการใช้คำนวณอยู่ที่ 244.55 บาท/ล้านบีทียู ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.35 บาท/ล้านบีทียู หรือเพิ่มขึ้น 3.97% จากช่วงเดือนม.ค.-เม.ย.60

สำหรับตัวเลขราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลที่ไม่ตรงกันระหว่างข่าวประชาสัมพันธ์ และเอกสารรับฟังความคิดเห็นนั้น เนื่องมาจากในข่าวประชาสัมพันธ์เป็นค่าใช้จ่ายในภาพรวมที่รวมถึงการผลิตไฟฟ้าจากเอกชนทั้งกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP) ด้วย แต่ในส่วนของเอกสารรับฟังความคิดเห็นเป็นเฉพาะของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เท่านั้น จึงทำให้ค่าที่แสดงแตกต่างกัน

นอกจากนี้ยังมีประเด็นของค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบายของภาครัฐในส่วน Adder และ FiT ในเดือนพ.ค.-ส.ค. 60 ที่ปรับเพิ่มขึ้น 388.32 ล้านบาท มาอยู่ที่ 13,536.41 ล้านบาท ซึ่งหลายคนเข้าใจว่าค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ค่าเอฟทีในงวดนี้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ในทางกลับกัน เนื่องจากจำนวนหน่วยไฟฟ้าในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.60 สูงขึ้น ดังนั้น เมื่อเทียบเป็นอัตราต่อหน่วยแล้วทำให้อัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 60 ลดลงจากงวดที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ค่าเอฟทีในงวดนี้ลดลง 1.20 สตางค์/หน่วย

และในกรณีที่หลายคนเข้าใจว่าค่าบริการรายเดือนและเงินประกันการใช้ไฟฟ้ามีผลต่อการคิดคำนวณค่าเอฟที นับว่าเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากค่าบริการรายเดือน เป็นค่าใช้จ่ายประจำเดือนที่ครอบคลุมการดำเนินงาน 4 ส่วน ได้แก่ การจดหน่วยไฟฟ้า การพิมพ์และจัดส่งบิล การรับชำระ และการบริการลูกค้า ซึ่งค่าบริการนี้ทาง กกพ. ได้กำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีต้นทุนอยู่ที่ 38.22 บาท/ราย/เดือน แต่เรียกเก็บบ้านอยู่อาศัยขนาดเล็ก ซึ่งใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน เพียง 8.19 บาท/ราย/เดือน ซึ่งได้รับการอุดหนุนอยู่ และสำหรับบ้านอยู่อาศัยขนาดใหญ่ จะเรียกเก็บที่ 38.22 บาท/ราย/เดือน ตามต้นทุนจริง

สำหรับในส่วนของเงินประกันการใช้ไฟฟ้า เป็นการให้บริการไฟฟ้าที่มีลักษณะเป็นการใช้ไฟฟ้าไปก่อนแล้วจึงมีการเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งในส่วนนี้ กกพ. ได้กำกับดูแลให้การไฟฟ้าต้องจ่ายคืนผลประโยชน์แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งในกรณีที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม การไฟฟ้าได้เริ่มจ่ายคืนดอกผลให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าแล้วในปี 56 และ 57 และกรณีที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กจะทำการจ่ายคืนดอกผลทุก 5 ปี เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.58 โดยการไฟฟ้าจะเริ่มจ่ายคืนดอกผลให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าครั้งแรกในปี 63 ดังนั้น ค่าบริการรายเดือนและเงินประกันการใช้ไฟฟ้า จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคิดคำนวณต้นทุนค่าเอฟทีแต่อย่างใด

“อย่างไรก็ตาม จากการที่ กกพ. ได้พิจารณาขึ้นค่าเอฟทีงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 60 นี้ กกพ.ได้พิจารณาถึงปัจจัยและผลกระทบที่จะส่งผลต่อผู้ประกอบการภาคธุรกิจและประชาชนอย่างรอบคอบแล้ว เนื่องจากถ้าไม่พิจารณาปรับค่าเอฟทีขึ้นในงวดนี้ จะส่งผลกระทบต่อค่าเอฟทีในงวดเดือนก.ย.-ธ.ค. 60 ให้ปรับตัวสูงขึ้นกว่างวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 60 และหากกรณีที่ กกพ. ตรึงค่าเอฟทีงวดนี้ จะทำให้ กฟผ. ต้องแบกรับภาระคิดเป็นเงินจำนวนประมาณ 7,786 ล้านบาท และในที่สุดแล้วผู้ใช้ไฟฟ้าก็จะต้องจ่ายค่าไฟในส่วนนี้คืนแก่กฟผ. ภายหลัง"นายวีระพล กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ