นายชูพงษ์ โภคะสวัสดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยอยู่ระหว่างการดำเนินงานปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และอยู่ระหว่างการเตรียมแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อยื่นคำขออนุญาตต่อก.ล.ต. ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะดำเนินการได้ในช่วงใด
"เรายังคงแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม ในเรื่องของการปรับโครงสร้างทางบัญชี ต่างๆ ให้เหมาะสมกับเกณฑ์ของ ก.ล.ต. แต่เราก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะเห็นความชัดเจนได้เมื่อไหร่ เพราะก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย รวมถึงสภาวะตลาดด้วย"นายชูพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ผลประกอบการในปีนี้ บริษัทฯ คาดว่ากำไรสุทธิจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อน จากปีก่อนทำได้ราว 4,900 ล้านบาท และรายได้จากผลเรียกเก็บ น่าจะทำได้ไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งปีตั้งเป้าหมายเข้าซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) และทรัพย์สินรอการขาย (NPA) จากธนาคารพาณิชย์และสถานบันการเงิน ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีการซื้อสินทรัพย์ราว 12,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกนี้ ได้เข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังนี้ก็จะเข้าซื้อสินทรัพย์ NPA และ NPL เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างเจรจากับธนาคารพาณิชย์ราว 3 ราย
ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ "สุขใจ ได้บ้านคืน" เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกหนี้รายย่อยสามารถชำระหนี้และนำทรัพย์หลักประกัน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยกลับคืนไปง่ายขึ้น ด้วยแนวทางการประนอมหนี้ โดยลูกหนี้จะได้รับประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน โดยสามารถชำระหนี้ในอัตรา 80% ของราคาประเมินหลักประกัน และสามารถเลือกชำระครั้งเดียว หรือผ่อนชำระไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ย MLR ของ BAM ตลอดระยะเวลาการผ่อนชำระ แต่ไม่เกินระยะเวลาบังคับคดี ซึ่งคุณสมบัติของลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นลูกหนี้ BAM ที่มีภาระหนี้เงินต้นต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท และเป็นลูกหนี้ประเภทสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกันเป็นที่อยู่อาศัย เป็นบุคคลธรรมดาที่ยังไม่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด รวมถึงไม่มีภาระหนี้บัญชี และไม่เป็นลูกหนี้ร่วม ,ผู้ค้ำประกัน ,ผู้จำนอง ลูกหนี้อื่น ของ BAM และไม่มีทรัพย์สินอื่น เพื่อเป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยจริงๆ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 10% ของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้รับซื้อรับโอนหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) จากสถาบันการเงินเข้ามาบริหารจัดการ จำนวน 178,243 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น จำนวน 638,935 ล้านบาท ปัจจุบันคงเหลือลูกหนี้ที่อยู่ในความดูแล จำนวน 76,254 ราย คิดเป็นภาระหนี้เงินต้น จำนวน 437,082 ล้านบาท โดยมีจำนวนลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือลูกหนี้ที่มีหลักประกันเป็นที่อยู่อาศัย ที่มีภาระเงินต้นไม่เกิน 5 ล้านบาท จำนวน 21,285 ราย รวมภาระหนี้เงินต้น จำนวน 28,978 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของลูกหนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่คาดว่าจะเข้าร่วมโครงการได้
นอกจากนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาการจัดทำโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ที่ไม่มีหลักค้ำประกันอีกด้วย แต่ยังไม่สามารถสรุปรายละเอียดได้