ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.24 จับตาตัวเลข Nonfarm สหรัฐ คาดกรอบบาทสัปดาห์หน้า 33.20-33.40

ข่าวเศรษฐกิจ Friday August 4, 2017 17:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.24 บาท/ดอลลาร์ ใกล้ เคียงจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.25 บาท/ดอลลาร์

วันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบเพียง 7 สตางค์ โดยแข็งค่าสุดที่ระดับ 33.20 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ ระดับ 33.27 บาท/ดอลลาร์ ช่วงนี้นักลงทุนอยู่ในโหมด Wait & See รอดูตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ คือ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้าด้วยเช่นกัน

"ตอนนี้นักลงทุนกำลังรอดูตัวเลข Nonfarm Payroll ของสหรัฐคืนนี้ เพราะถ้าออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด ก็จะทำให้ ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปอีกเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งบาทก็จะแข็งค่าต่อ ส่วนสัปดาห์หน้าจะหลุดแนวรับสำคัญที่ 33.20 บาท/ ดอลลาร์หรือไม่นั้น ถ้ามีการเข้ามาช่วยพยุงจากแบงก์ชาติ ก็จะไม่ทำให้เงินบาทแข็งค่าลงไปเร็วนัก" นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า สัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 33.20 - 33.40 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 110.06 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 110.08 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1879 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1877 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,578.26 จุด เพิ่มขึ้น 0.01 จุด (+0.00) มูลค่าการซื้อขาย 34,679 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 951.14 ลบ.(SET+MAI)
  • นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตได้ในระดับ 3.5-3.6% ซึ่งถือว่าขยาย
ตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 57 ส่วนสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือในปัจจุบันจะมีผลกระทบต่อ GDP ปีนี้
หรือไม่นั้น คงต้องขอประเมินสถานการณ์อีกระยะว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะกินเวลานานเท่าใด และมีความเสียหายในวงกว้างมากน้อย
เพียงใด แต่เบื้องต้นเชื่อว่าคงส่งผลกระทบต่อ GDP ในปีนี้ไม่มากนัก
  • ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 60 จะเติบโตได้
3.5% โดยการเติบโตจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งมีผลมาจากแรงขับเคลื่อนของภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ประกอบ
กับการบริโภคภาคเอกชนที่จะขยายตัวดีขึ้นจากเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเข้าสู่ระบบในช่วงครึ่งปีหลัง รวมทั้งจำนวนนักท่อง
เที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี ขณะเดียวกันการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจ
ขยายตัวดีขึ้น
  • บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHBANK) จับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ CTBC Bank ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำ
ระดับเอเชีย เพื่อรองรับการเติบโตและการขยายธุรกิจต่างประเทศ ยกระดับการให้บริการด้านเทรดไฟแนนซ์, ด้านบริการการเงิน
ส่วนบุคคล และด้านดิจิทัลแบงกิ้ง ทั้งนี้ LHBANK ไดั้รับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนจาก CTBC Bank จำนวน 16,599 ล้านบาท คิดเป็นการถือ
หุ้น 35.71%
  • ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ระบายเม็ดเงินมูลค่า 2 หมื่นล้านหยวน (ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ออกจาก
ระบบการเงินภายในประเทศ ผ่านการดำเนินการทางตลาดเงิน (Open Market Operations: OMO) ในวันนี้ จากการที่จำนวน
พันธบัตรครบกำหนดมีมูลค่ามากกว่าที่อัดฉีดใหม่ ซึ่งนับเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันที่ธนาคารกลางจีนได้ระบายสภาพคล่องออกจากตลาดเงิน
  • ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) แถลงนโยบายการเงินรายไตรมาส โดยระบุว่าอัตราค่าแรงยังคงอยู่ในระดับต่ำ
สุดในรอบครึ่งทศวรรษ ขณะที่อัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยยังคงอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2533 อย่างไรก็ตาม RBA คาด
ว่า ตัวเลขการจ้างงานจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ตัวเลขรายได้กระเตื้องขึ้นตามไปด้วย และคาดว่าอัตรา
ค่าแรงจะเริ่มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  • นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ คือ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.

ค. และดุลการค้าเดือน มิ.ย. ขณะที่สัปดาห์หน้าต้องจับตาตัวเลขการส่งออก-นำเข้า-ดุลการค้าของจีนในเดือนก.ค. ซึ่งตัวเลขของ

จีนมีผลต่อค่าเงินในสกุลในภูมิภาค เนื่องจากหากตัวเลขดังกล่าวออกมาดี ก็จะยิ่งทำให้มีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาในจีน และต่อ

เนื่องมาในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย ซึ่งจะมีผลให้สกุลเงินของประเทศต่างๆ ในเอเชียปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ