พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน หรือปลดธงแดง โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันทำงานจนสามารถแก้ปัญหาทั้ง 33 ข้อที่ทาง ICAO ได้กำหนดให้ไทยดำเนินการแก้ปัญหา ทั้งในด้านของการปฏิรูปมาตรฐานการบิน การปฏิรูปองค์กร ทำให้สามารถตอบโจทย์ทั้ง 33 ข้อได้จนนำมาสู่การปลดธงแดงครั้งนี้ และถือเป็นความภาคภูมิใจของทุกคนในประเทศ และถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับสายการบินในประเทศไทย เพื่อที่จะขยายเส้นทางการบินไปยังทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของมาตรฐานการดูแลความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนของไทย และถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการเดินหน้าไปสู่ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและหัวหน้า คสช.พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ต่อไป เพราะยังคงมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องเดินหน้าแก้ปัญหา และนับจากนี้งานต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาจะทยอยเห็นผลสำเร็จออกมาตามลำดับ ซึ่งงานบางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา
นายกรัฐมนตรียังขอขอบคุณภาคเอกชนที่ให้การสนับสนุนในเรื่องดังกล่าว ถึงแม้จะยังมีอีก 10 สายการบินที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งทางกระทรวงคมนาคมยืนยันว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้
"ปัญหาการบินพลเรือนเป็นเรื่องที่สะสมกันมานาน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลชุดนี้ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน และเป็นรูปธรรม เริ่มจากการปฏิรูปมาตรฐานการกำกับดูแลด้วยการปฏิรูปองค์กร โดยแยกงานกำกับดูแลมาตรฐานการบินมาจัดตั้งเป็นองค์กรใหม่ คือ กพท. ทำหน้าที่จัดทำมาตรฐานและกำกับดูแลกิจการการบินพลเรือนของประเทศ" นายกฯ ระบุ
ทั้งนี้ ICAO ได้เข้ามาตรวจสอบการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนเมื่อเดือน ม.ค.58 แล้วพบว่ามีความบกพร่องเกี่ยวกับกระบวนการออกในรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ โดยมีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยด้านการบินพลเรือน (SCC) จำนวน 33 ข้อ และต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.58 ได้ประกาศติดธงแดงประเทศไทยบนเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่าไทยยังไม่มีการกำกับดูแลมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนอย่างเพียงพอภายใต้มาตรฐานของ ICAO
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขเร่งด่วน โดยได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน (ศบปพ.) เป็นศูนย์ประสานการแก้ไขปัญหา และมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมซึ่งเป็นหน่วยงานทางการและเป็นผู้แทนรัฐบาลใน ICAO เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาและปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานของ ICAO
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เกิดความเชื่อมั่นและเชื่อถือจากกิจการการบินพลเรือนทั่วโลกจำเป็นที่จะต้องแก้ไขข้อบกพร่องทั้ง 33 ข้อดังกล่าว ทบทวนการตรวจประเมินการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ทั้ง 28 สายการบินที่ทำการบินระหว่างประเทศ แก้ไขกฎหมายการเดินอากาศใหม่ และพัฒนาบุคลากรที่ขาดแคลน ทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ประเทศไทยได้ตกลงเป็รลายลักษณ์อักษรกับ ICAO ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว พร้อมได้ยื่นขอตรวจประเมินใหม่เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.60 ซึ่งทาง ICAO ได้ส่งคณะเข้ามาตรวจประเมินด้านปฏิบัติการการบินและความเหมาะสมของการเดินอากาศใหม่ระหว่างวันที่ 20-27 ก.ย.ที่ผ่านมา
บัดนี้ ICAO ได้ประกาศถอดประเทศไทยออกจากรายชื่อประเทศที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค.60 เป็นต้นไป โดยวันนี้ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกของ ICAO พร้อมด้วย รมว.คมนาคม และผู้อำนวยการ กพท.ได้มารายงานผลการตรวจประเมิน และได้รับการยืนยันจากผู้อำนวยการฯ ICAO แล้วว่าทาง ICAO ได้มีมติปลดธงแดงอย่างเป็นทางการแล้ว
"วันนี้จึงเป็นวันที่น่าภาคภูมิใจสำหรับประเทศโดยรวม ความไว้วางใจของ ICAO ที่ปลดธงแดงให้กับประเทศไทยครั้งนี้ย่อมแสดงถึงความเชื่อมั่นของ ICAO และนานาประเทศที่มีต่อ กพท.ที่ได้ทำหน้าที่กำกับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน และความเหมาะสมของการเดินอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานของ ICAO และส่งผลต่อความเชื่อมั่นของสายการบินของไทยที่จะบินไปที่ไหนของโลกนี้ที่มีข้อตกลงการบินระหว่างกันก็ย่อมทำได้ และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การสร้างความมั่นใจในการพัฒนามาตรฐานการกำกับดูแลและการสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กรกำกับดูแล รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินเพื่อก้าวไปสู่ศูนย์กลางการบินในภูมิภาคในอนาคตอย่างมั่นใจ"