นายกฯ เปิดงาน Thailand Industry Expo 2018 เน้นย้ำให้อุตสาหกรรมดึงภาคการเกษตรเข้ามาร่วมเพื่อเพิ่มรายได้

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 2, 2018 18:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดงาน Thailand Industry Expo 2018 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "Change to Shift เปลี่ยนเพื่อปรับ ยกระดับอุตสาหกรรมไทย" ระหว่างวันที่ 2-5 ส.ค.นี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อแสดงศักยภาพและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศไทย สู่การเป็นอุตสาหกรรม 4.0 ตามนโยบายรัฐบาล ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน สถาบันวิจัย และองค์กรระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเปิดงานในวันนี้ไม่ได้ต้องการหวังผลทางการเมือง แต่เพื่อต้องการขับเคลื่อนผลงานของรัฐบาล หลังจากที่มีการดำเนินงานและปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ องค์กร การบริหารราชการ และกฎหมายหลายฉบับตลอด 4 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง เชื่อมโยงในทุกด้านและในอนาคตต่อไป ตามที่รัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ มีแผนแม่บท ซึ่งกระทรวงและส่วนราชการต่างๆ ต้องทำงานตามแผนที่วางไว้ และต้องให้เกิดความต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำตามนโยบายของรัฐบาลที่เข้ามาเพียงอย่างเดียว

ดังนั้นจึงมีความจำเป็นต้องวางยุทธศาตร์ชาติไว้ เช่นเดียวกับการตั้งเป้าหมายอุตสาหกรรมประเทศไทย ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งการตั้งคำนี้ขึ้นมาเพราะว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ในโลกใบนี้ อย่างไรก็ตาม การจะก้าวสู่ยุค 4.0 จะต้องมีการเริ่มต้นและเริ่มก้าวแรกเสมอ ซึ่งรัฐบาลนี้กำลังขับเคลื่อนอยู่ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีส่วนสำคัญ รวมถึงกลุ่มเอสเอ็มอี การค้าการลงทุน ทั้งภาคเล็กและภาคใหญ่ ทั้งหมดจะต้องร่วมกันขับเคลื่อน ตามแนวทางที่รัฐบาลได้วางไว้

พร้อมย้ำว่า รัฐบาลต้องการดูแลทุกภาคส่วน ทั้งภาคการเกษตรที่มีมากกว่า 20 ล้านคน ดึงเข้ามาสู่ห่วงโซ่เพิ่มรายได้และกระจายรายได้อย่างเหมาะสม โดยภาคอุตสาหกรรมต้องเข้ามาช่วยเหลือภาคเกษตรกรรม เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ไม่เช่นนั้นจะนำมาสู่ความขัดแย้ง และการขับเคลื่อนประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้นต้องเห็นใจในส่วนของผู้มีรายได้น้อย โดยการสร้างภาพจำแบบใหม่ให้เกษตรกรมีความสุข รวมถึงทุกกลุ่มทุกระดับในประเทศไม่ให้กลับไปสู่ภาพการปะทะ และเรียกผลประโยชน์ให้ตนเอง ซึ่งจะทำให้ประเทศเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องรักษากติกาไว้ให้ได้

นายกรัฐมนตรี ได้ย้ำถึงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่ต้องมีการพัฒนาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี ที่ในอนาคตจะนำหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่แรงงาน และย้ำว่าโมเดลการพัฒนาประเทศ 4.0 คือโรดแมปในการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยมีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อผลักดันให้เดินหน้าไปได้เร็วขึ้น เพราะโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่จะต้องไม่ลืมคนทุกระดับ เพื่อมุ่งหมายให้คนมีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งในวันนี้และในอนาคต และเห็นว่าการหาเสียงของพรรคการเมืองในอนาคตจะต้องมุ่งเน้นนโยบายต่างๆ ให้เกิดความชัดเจน ซึ่งทุกคนต้องร่วมกันสนับสนุนการเมืองและประชาธิปไตยที่ถูกต้องและมีธรรมาภิบาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างนี้นายกรัฐมนตรีได้ถามผู้ร่วมงานว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ทุกคนต้องร่วมมือกันในรูปแบบประชารัฐ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืน ซึ่งผู้ร่วมงานก็ได้ยกมือเห็นด้วย นายกรัฐมนตรี จึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าคงไม่มีนายกฯ คนไหนบ้าถามแบบนี้ จนมีคนกล่าวหาว่าตนเองบ้าอำนาจ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพียงแต่ตนต้องการสร้างแนวร่วมกับความคิดที่ตนได้ทำไปตลอด 4 ปีที่ผ่านมา และได้นำปัญหาของคนทุกกลุ่มทุกระดับมาแก้ไข ก่อนที่จะสั่งการไปยังคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการขับเคลื่อน และดำเนินการออกมาในรูปแบบการปฏิรูปประเทศและแผนยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเชื่อว่าไม่มีรัฐบาลไหนที่ออกมาพูดและทำความเข้าใจเช่นนี้ ยืนยันคนทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเสียงส่วนใหญ่หรือส่วนน้อย ต้องได้รับการดูแล ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ได้อย่างยั่งยืน และใช้ศักยภาพการเป็นศูนย์กลางอาเซียนยืนอยู่ให้ได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทุกครั้งว่า จะต้องเร่งสร้างความเข้าใจให้กับคนทุกกลุ่ม เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันในประเทศและต้องไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต และยืนยันว่าตนและครอบครัวไม่เคยต้องการได้รับผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยมีธุรกิจหรือบริษัทใดๆ ดังนั้นใครจะมาแอบอ้างหรือขอเข้าพบตน จะไม่มีเป็นอันขาด หากพบมีการแอบอ้างให้รีบแจ้งให้ทราบทันที เพราะล่าสุดทราบมาว่ามีการแอบอ้างตนเอง เพื่อขอเข้าพบรัฐมนตรี ซึ่งหากรัฐมนตรีคนใดให้พบ จะสั่งปลดทันที เพราะไม่สามารถที่จะทำได้ นอกจากนี้ ยังมีรองนายกรัฐมนตรี ถูกแอบอ้างในลักษณะช่วยเหลือคดีได้ จนสูญเสียเงินไป 5 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง จึงขออย่าหลงเชื่อเป็นอันขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังกล่าวเปิดงาน นายกรัฐมนตรียังได้เยี่ยมชมนิทรรศการซึ่งจัดขึ้นภายในงาน โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็น 6 โซน เช่น การนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีนวัตกรรมระดับโลก ในด้านอุตสาหกรรมกลุ่มอาหาร เกษตรแปรรูป ยานยนต์ การแพทย์ การเงิน โลจิสติกส์ โรงงาน รวมทั้งกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการญี่ปุ่น จากเมืองต่างๆ ที่ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมไว้ รวมถึงบทบาทของมหาวิทยาลัยในการพัฒนากำลังคนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ