สศค. โรดโชว์ศักยภาพเศรษฐกิจไทย มั่นใจ GDP ทั้งปีโต 4.5% หวังดึงนลท.สิงคโปร์ลงทุนไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 6, 2018 15:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุวิชญ โรจนวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เป็นหัวหน้าคณะเข้าร่วมกิจกรรมพบปะนักลงทุนต่างชาติ ที่จัดโดยบริษัท CLSA Pte Ltd. ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทยและการลงทุน พร้อมตอบข้อซักถามของนักลงทุนต่างชาติ อันจะเป็นการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและสิงคโปร์ รวมถึงดึงดูดการลงทุนของนักธุรกิจสิงคโปร์มาสู่ไทย

โดยกิจกรรมพบปะนักลงทุนดังกล่าว แบ่งออกเป็น 5 ช่วง สำหรับการพบปะนักลงทุนทั้งหมด 5 กลุ่ม รวม 20 ราย โดยเป็นนักลงทุนจาก 1) บริษัท Daiwa Asset Management 2) บริษัท UBS 3) บริษัท Saga Tree Capital 4) บริษัท Franklin Templeton Investments 5) บริษัท Amundi 6) บริษัท Daiwa SB Investment Singapore 7) บริษัท CLSA และ 8) บริษัท Credit Suisse

นายสุวิชญ ได้นำเสนอถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเศรษฐกิจสามารถขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2561 เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 4.9% และ 4.6% ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลำดับ โดยมีแรงสนับสนุนสำคัญจากการส่งออกทั้งสินค้าและบริการ รวมทั้งเริ่มมีสัญญาณการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนและรายได้เกษตรกรขยายตัวได้ดี พร้อมทั้งมีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมสูง ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ หนี้สาธารณะอยู่ในกรอบที่กำหนด และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอ จึงทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ที่ 4.5% (ประมาณการ ณ เดือนกรกฎาคม 2561)

นอกจากนี้ ยังได้มีการนำเสนอนโยบายสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล เช่น 1) ยุทธศาสตร์ National e-Payment เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของไทยให้สอดรับกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล 2) แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เพื่อยกระดับศักยภาพการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทย 3) นโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตซึ่งจะช่วยจุดประกายการเติบโตเศรษฐกิจรอบใหม่ 4) มาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนที่สำคัญ เช่น PPP Fast Track และ Thailand Future Fund รวมถึง 5) โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและลดความเหลื่อมล้ำในสังคม 6) การประมูลพันธบัตรรัฐบาลในช่วงเดือนกันยายน และ 7) พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งช่วยรักษาเสถียรภาพและความยั่งยืนทางการคลัง

ทั้งนี้ นักลงทุนได้ให้ความสนใจในหลายประเด็น ทั้งสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศ ได้แก่ การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชน ระดับหนี้ครัวเรือนกับผลกระทบต่อการบริโภค ภาคการท่องเที่ยวและการพึ่งพานักท่องเที่ยวจากจีน ราคาอสังหาริมทรัพย์ และสภาวะเศรษฐกิจภายนอก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ได้แก่ ผลกระทบจากสงครามการค้า และผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจต่อนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย ที่จะเชื่อมโยงไทยเข้ากับยุทธศาสตร์หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative : BRI) ของจีน ความต่อเนื่องของการพัฒนา EEC ในอนาคต ความถี่ของการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ และรูปแบบการเก็บภาษีธุรกิจ e-Commerce ที่มีลักษณะข้ามพรมแดนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงมาตรการรับมือสังคมผู้สูงอายุของไทย ก็เป็นประเด็นด้านความท้าทายที่นักลงทุนให้ความสำคัญเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่าไทยควรหามาตรการสร้างกระจายรายได้เข้าไปในพื้นที่ชนบท ขณะเดียวกันไทยควรปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความหลากหลาย เพื่อลดการพึ่งพาบางภาคส่วนมากจนเกินไป ได้แก่ การท่องเที่ยว โดยได้ยกตัวอย่างกรณีของสาธาณรัฐสิงคโปร์ว่าสามารถหันมาพึ่งพาความต้องการภายในประเทศให้มากขึ้น โดยพัฒนาอุตสาหกรรมด้านชีวเคมี หุ่นยนต์ และ FinTech เพื่อตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าว ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าสถานการณ์การย้ายฐานการผลิตของจีนมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นโอกาสทางธุรกิจของไทย เนื่องจากไทยมีโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ที่พร้อมกว่าประเทศเพื่อนบ้าน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ