"อนุสรณ์"แนะไม่ควรรีบขึ้นดบ.นโยบายหวั่นบาทแข็งกระทบส่งออก ,วิกฤติค่าเงินตลาดเกิดใหม่กระทบไทยจำกัด

ข่าวเศรษฐกิจ Sunday September 9, 2018 17:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า การลุกลามของวิกฤติเศรษฐกิจและการดิ่งลงของค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น รวมทั้งเงินทุนระยะสั้นเก็งกำไรไหลเข้าตลาดตราหนี้ของไทยเพิ่มขึ้น และกดดันให้เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจเกิดการเก็งกำไรค่าเงินบาททำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย โดยเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ๆ ยกเว้นดอลลาร์สหรัฐฯ ดั้งนั้น จึงไม่ควรรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพราะจะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอีกกระทบต่อภาคส่งออก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ

การอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของค่าเงินในตุรกี อาร์เจนตินา เวเนซูเอลา อินโดนีเซีย อินเดีย และจะเกิดขึ้นกับฟิลิปปินส์ บราซิล ต่อไป ทำให้ภาระหนี้สินต่างประเทศของประเทศเหล่านี้ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงอยู่แล้วเพิ่มขึ้นอีกจากการอ่อนค่าของเงินสกุลท้องถิ่น ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้อาจจะเกิดขึ้นในบางประเทศและจะมีผลกระทบต่อสถาบันการเงินและเจ้าหนี้ระหว่างประเทศที่ปล่อยกู้ให้กับประเทศเหล่านี้ สถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่มีฐานะแข็งแกร่งขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจะกลับมาอ่อนแออีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่ผลกระทบจากการขยายวงของสงครามทางการค้าจะทำให้ปริมาณการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงไตรมาสสี่ ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาผลของการทำประชาพิจารณ์ที่รัฐบาลสหรัฐฯจะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์หรือไม่ หากมีการตัดสินใจเดินหน้าเก็บภาษีจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ คาดว่าจีนจะทำการตอบโต้ทางการค้าในระดับเดียวกัน จะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกค่อนข้างมาก ข้อมูลล่าสุด สหรัฐอเมริกามีตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือนกรกฎาคมสูงกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สูงสุดในรอบ 5 เดือน หากสถานการณ์การขาดดุลการค้าสหรัฐฯยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการใช้มาตรการตั้งกำแพงภาษีและกีดกันการค้าต่อประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไทย ต่อไปเพื่อลดการขาดดุลการค้า จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ซึ่งต้องอาศัยรายได้จากการส่งออก

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า วิกฤติค่าเงินและการชะลอตัวของเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย และ อาจลามไปที่ฟิลิปปินส์จะกระทบต่อภาคส่งออกของไทยไปอาเซียน ไทยส่งออกไปอินโดนีเซียประมาณ 4% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนยานยนต์ นอกจากนี้ ภูมิภาคอาเซียนเชื่อมโยงกันหมด เช่น สิงคโปร์มีสัดส่วนการส่งออกไปอินโดนีเซีย 8% ก็จะได้รับผลกระทบ และไทยก็พึ่งพาตลาดสิงคโปร์ค่อนข้างมาก

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางของประเทศในตลาดเกิดใหม่ จะไม่สามารถหยุดยั้งอัตราเงินเฟ้อสูงรุนแรงและการอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงของค่าเงินได้ การสร้างความเชื่อมั่นด้วยการลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ลดการขาดดุลงบประมาณ ลดภาระหนี้สินต่างประเทศ คือ ทางออกของวิกฤติค่าเงิน ประเทศที่มีการเกินดุลการค้าและเกินดุลบัญชีเดินสะพัดล้วนมีค่าเงินที่มีเสถียรภาพและไม่เป็นเป้าหมายของการถูกโจมตีให้อ่อนค่าลง

ผลกระทบจากวิกฤติค่าเงินในตลาดเกิดใหม่นั้นยังกระทบไทยค่อนข้างจำกัด ขณะนี้ประเทศไทยมีการเกินดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับ 45-47 พันล้านดอลลาร์ มีทุนสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ มีหนี้สินต่างประเทศระยะสั้นไม่มาก อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานยังค่อนข้างต่ำ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนของภาคธุรกิจแม้นเพิ่มขึ้นแต่ยังคงเป็นการกู้เงินในประเทศเป็นหลัก หากเกิดกระแสเงินไหลออกและต้องชำระหนี้ต่างประเทศ ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถรับมือได้

อย่างไรก็ตามตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยอาจมีความเสี่ยงเรื่องหนี้สาธารณะและฐานะทางการคลังเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป หากไม่มีการปฏิรูปรายได้ภาครัฐทั้งระบบภาษีและรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขด้วยการสร้าง "ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ" ไทยยังมีปัญหาสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ยังค่อนข้างสูงอยู่ หลังปี 2546 สัดส่วนรายได้ของครัวเรือนต่อรายได้ประชาชาติลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนว่า การที่จีดีพีเติบโตดีอาจไม่ได้หมายถึงรายได้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่มีการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนหนี้ต่อรายได้ทั้งปีของครัวเรือนโดยเฉลี่ยในช่วงปี 2558-2560 สะท้อนรายได้ครัวเรือนโดยเฉลี่ยลดลง และมูลค่าหนี้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น มูลค่าหนี้ครัวเรือนโดยรวมของทุกกลุ่มรายได้มีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยมาจากการกู้ยืมของรายได้สูงเป็นหลัก

แม้นการเลือกตั้งในปีหน้าจะไม่ได้ทำให้ประเทศไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตยเต็มใบแต่เป็นระบอบกึ่งประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่เชื่อว่าจะส่งผลบวกต่อภาคการลงทุน การเปิดเสรีการค้า มากกว่าระบอบรัฐประหารอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถเริ่มต้นเจรจาการค้าและการลงทุนกับอียูได้ มีการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายค้าน มีเสรีภาพมากขึ้น หากหลังการเลือกตั้งสามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้ก็จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ