นายศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร. กล่าวในหัวข้อ "เจาะลึกพ.ร.บ.รัฐบาลดิจิทัล คนไทยได้อะไรในยุค 4.0" ว่า การเป็นรัฐบาลดิจิทัลได้ หน่วยงานรัฐต้องมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นดิจิทัล สุดท้ายแล้วบริการภาครัฐจะเป็นดิจิทัลทั้งหมด มีการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และมีการเผยข้อมูลด้วยมาตรฐานสากล แนวทางไปสู่ความเป็นดิจิทัลจะอยู่ในแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่ สพร.จะทำขึ้นมา หน่วยงานภาครัฐจะมีเวลาในการปรับเปลี่ยนให้สำเร็จภายใน 5 ปี โดยขณะนี้เรากำลังจะเข้าสู่แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลระยะที่ 2 สิ่งสำคัญที่สุดที่จะสนับสนุนให้เกิดการปฎิบัติให้เกิดขึ้นได้จริงต้องยกระดับความพร้อมของประชาชนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสารโทรคมนาคม
สำหรับความคืบหน้าการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. …. หลังจากผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว จะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาตรวจแก้ถ้อยคำอีกครั้งก่อนส่งไปให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา ทั้งนี้คณะกรรมาธิการการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อสารมวลชน สนช.ได้เชิญ สพร.ให้ไปชี้แจง โดยคณะกรรมการธิการฯ แจ้งว่าได้ตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาร่างกฎหมายดิจิทัลที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ทั้งหมดในภาพรวม โดยจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.รัฐบาลดิจิทัล ไปพร้อมๆ กับร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และร่าง พ.ร.บ.พิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ซึ่งคาดว่าร่างกฎหมายทั้งสามฉบับน่าจะผ่านความเห็นชอบของ สนช.และมีผลบังคับใช้ได้ภายในเดือน พ.ค.62
"ต้องเตรียมการเพื่อรองรับการบังคบใช้กฎหมายดังกล่าว โดยพื้นฐานของรัฐบาลดิจิทัล ประกอบด้วย การยืนยันตัวตนที่ภาครัฐกำลังทำให้เกิด digital ID, การบริหารจัดการข้อมูลภาครัฐ และการชำระเงินที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่ง สพร.ต้องการให้ร่างกฎหมายนี้ทำให้เกิดการใช้ข้อมูลเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในที่สุด"
พ.ร.บ.ว่าด้วยรัฐบาดิจิทัล พ.ศ. ... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อจัดทำแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนระดับชาติ กำหนดหน่วยงานรับรองมาตรฐานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล กำกับและติดตามการดำเนินงานของศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกลางแห่งชาติ และศูนย์กลางข้อมูลเปิดภาครัฐ พร้อมให้ยกเลิกการเรียกเอกสารผู้ค้ากับภาครัฐภายใน 2 ปี