ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดมีโอกาสสูงที่กนง.รอบสุดท้ายของปีจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่มองผลต่อต้นทุนการเงินจำกัด

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 14, 2018 14:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มีโอกาสสูงขึ้นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบสุดท้ายของปี 2561 อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% หลังจากได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นถึงความจำเป็นในการปรับสมดุลของการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ในระยะข้างหน้า

โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจที่ต้องติดตามที่อาจจะมีผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ดังนี้

โอกาสที่ กนง. อาจจะปรับสมดุลการดำเนินนโยบายการเงินมีสูงขึ้นเนื่องจากการให้น้ำหนักมากขึ้นกับการสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) และรักษาเสถียรภาพทางการเงินในขณะที่ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวตามศักยภาพแม้จะอยู่ในทิศทางที่ชะลอลง สัญญาณของสะสมของความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยเริ่มปรากฎชัดขึ้น อาทิ พฤติกรรมแสวงหาความเสี่ยง (search for yield) ที่เพิ่มขึ้นซึ่งสะท้อนจากการถือครองสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นทดแทนเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันกว่า 3 ไตรมาส ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการกู้ยืมในเพื่อซื้อรถยนต์และที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่แนวโน้มของหนี้เสียของการกู้ยืมในกลุ่มนี้เริ่มมีสัญญาณขยับขึ้น

ทั้งนี้ หากพฤติกรรมแสวงหาความเสี่ยงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องอาจจะส่งผลต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่วัฎจักรของการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวติดต่อกันกว่า 10 ปีอาจมีแนวโน้มชะลอลงในระยะข้างหน้า ดังนั้นปรับลดปัจจัยเสี่ยงต่อการสะสมความเปราะบางของเสถียรภาพเศรษฐกิจและการสร้างขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าคงมีความจำเป็นมากขึ้น

ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีอยู่แม้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจสะดุดไปบ้างในไตรมาส 3/2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคมที่กิจกรรมของเศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนอาจจะบ่งชี้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2561 น่าจะกลับมาขยายตัวในระดับที่ดีขึ้นและสอดคล้องกับการขยายตัวตามศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ขณะที่การบรรลุข้อตกลงในการเลื่อนการเก็บภาษีการค้าจากจีนเพิ่มเติมของสหรัฐฯ ไปจนถึงช่วงต้นเดือนมีนาคม 2561 น่าจะช่วยคลายปัจจัยกดดันต่อภาคการส่งออกลงบางส่วนแม้ว่าความไม่แน่นอนในการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างจีนแล สหรัฐฯ จะยังมีอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและความชัดเจนของการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ คงจะสนับสนุนโมเมนตัมของการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่น่าจะเป็นปัจจัยหลักในการหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของค่าเงินส่วนหนึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของเงินดอลลาร์ฯ รวมทั้ง ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของเฟด รวมทั้งความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคต่างๆ ของโลกเป็นปัจจัยที่หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าต่อเนื่องซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าโดยดัชนีค่าเงินดอลลาร์ฯ ปรับแข็งกว่ากว่า 5.1% เทียบกับช่วงปลายปี 2560 ซึ่งการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ฯและอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับสูงขึ้นส่งผลให้มีเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยงด้านเสถียรภาพของแต่ละประเทศที่เป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเงินอ่อนค่าเพิ่มเติมซึ่งประเทศที่มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจต่างประเทศที่อ่อนแอมักจะประสบกับการไหลออกของเงินทุนอันส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก แม้ว่าธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้นจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าน้อยกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคส่วนหนึ่งมาจากผลของเสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่อยู่ในระดับแข็งแกร่ง กอปรกับการพึ่งพาเงินทุนจากภายนอกประเทศในระดับต่ำ

ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยและสหรัฐฯที่ยังอยู่ในระดับสูงไม่น่าที่จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการดึงดูดเงินทุนไหลเข้ารอบใหม่อันจะส่งผลกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่าส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของไทยและสหรัฐฯและไทยมีความแตกต่างมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นหลังจากที่ธนาคารกลางของเกาหลีใต้ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มปรับลดการถือครองหลักทรัพย์ตราสารการเงินต่าง ๆในไทยลงโดยมีการขายสุทธิในตลาดพันธบัตรตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมาอันน่าจะบ่งชี้ถึงความน่าสนใจในการลงทุนสินทรัพย์สกุลบาทที่อาจมีความน่าสนใจลดลง

ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางระดับสภาพคล่องในตลาดการเงินไทยที่อยู่ในระดับสูงทำให้ผลของส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้นต่อต้นทุนการเงินอยู่ในระดับจำกัด กล่าวคือขนาดของการส่งผ่านผลของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปยังตลาดเงินอาจจะถูกลดทอนลงบางส่วน ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์คงจะขึ้นอยู่กับการประเมินสภาวะแวดล้อมทางการเงินอื่นๆ นอกจากปัจจัยด้านต้นทุนทางการเงินด้วย อาทิ ความสามารถในการชำระหนี้ลูกหนี้ รวมถึงความต้องการสินเชื่อ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า กนง.คงจะเว้นระยะเวลาเพื่อประเมินพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินรอบใหม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการการเติบโตและความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ในรอบนี้น่าจะเป็นลักษณะการปรับขึ้นนโยบายที่ไม่ต่อเนื่อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ