นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.84/86 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วง เช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.77/78 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่องจากในช่วงเช้า ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายสถานการณ์ในสหรัฐฯ เริ่มพลิกกลับมามีภาพที่ดีขึ้น เช่น สงครามการค้ากับจีน การปิดหน่วยงานราชการชั่วคราว ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาค่อนข้างดี จึงทำให้มีแรงซื้อดอลลาร์กลับคืน ส่งผล ให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ
"ช่วงนี้ที่สถานการณ์พลิกกลับ น่าจะเป็นเพราะภาพที่แย่ๆ ของสหรัฐเริ่มจะหายไป เช่น trade war, ชัตดาวน์หน่วย งานราชการในสหรัฐ ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี สิ่งเหล่านี้ทำให้คนเริ่มกลับมาคิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยได้ มากกว่า 1 ครั้งในปีนี้ ซึ่งพอมีเรื่องดีๆ เข้ามา ก็เลยมีแรงซื้อดอลลาร์กลับ ดอลลาร์จึงแข็งค่า" นักบริหารเงินระบุ
นักบริหารเงิน คาดว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า แต่เชื่อว่าจะไม่ขึ้นไปแตะระดับ 32 บาท/ดอลลาร์ โดยมองว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.75-31.90 บาท/ดอลลาร์
- ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 111.83 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 111.98/112.00 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1342 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1368/1369 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,635.30 จุด ลดลง 6.14 จุด (-0.37%) มูลค่าการซื้อขาย 45,025 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,656.86 ลบ.(SET+MAI)
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทปรับแข็งค่าขึ้น 2.3% เป็นผลจากดอลลาร์สหรัฐอ่อน
ในบางช่วงที่เงินบาทแข็งค่าเร็วในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจ ธปท. ได้เข้าดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เวลากับ เอกชนในการปรับตัว ในระยะข้างหน้า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนเคลื่อนไหวได้ 2 ทาง ตามความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการ เงินโลก
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.พ.62 อยู่ในระดับทรงตัวใกล้เคียงเดือนก่อน
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยทิศทางค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ (4-8 มี.ค.) มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 31.50-
- ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เผย กรรมการ BOJ จะทำการอภิปรายในประเด็นการถอนนโยบายการเงินแบบผ่อน
- ปัจจัยต่างประเทศสำคัญที่ต้องติดตามในช่วงนี้ ได้แก่ การพิจารณายุติการปรับลดขนาดงบดุล และทิศทางการขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยในระยะต่อไป ของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินของสหรัฐ (FOMC), ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่มี
แนวโน้มคงนโยบายการเงิน และอาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไป, การพิจารณาข้อตกลงการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ
(BREXIT) กับ EU ซึ่งมีกำหนดเส้นตายในวันที่ 29 มี.ค., การปรับลดคาดการณ์ GDP ของกลุ่ม EU จาก 1.9% มาเป็น 1.3%
และผลการประชุมนโยบายเศรษฐกิจของจีนในเดือนมี.ค.