กฟผ.คาดพีคปีนี้ไม่เกิน 30,500 MW ยันดูแลระบบสร้างความมั่นคงด้านไฟฟ้าอย่างยั่งยืน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 30, 2019 17:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (peak) ของระบบกฟผ.ในปีนี้จะไม่เกินระดับ 30,500 เมกะวัตต์ (MW) หลังจากที่เกิดพีคเป็นครั้งที่ 2 ในรอบปีเมื่อเวลา 20.29 น. ของวันที่ 24 เม.ย. ที่ระดับ 30,120.2 เมกะวัตต์ ซึ่งพีคที่เกิดขึ้นในรอบปีนี้อยู่ในช่วงกลางคืนจากเดิมที่เคยเกิดขึ้นในช่วงกลางวัน เนื่องจากปัจจุบันในช่วงเวลากลางวันมีการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ในช่วงกลางคืนก็กลับมาใช้ไฟฟ้าจากระบบมากขึ้น

อย่างไรก็ตามกฟผ.ก็พร้อมดูแลการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างเพียงพอ ทั้งด้านการผลิต ด้านระบบส่งไฟฟ้า และด้านเชื้อเพลิง เพื่อรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้า

ขณะเดียวกันกฟผ.ก็ยังจะให้ช่วยดูแลราคาผลปาล์ม ด้วยการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ(CPO) เพิ่มอีก 1 แสนตัน เพื่อนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า หลังจากก่อนหน้านี้ได้รับซื้อล็อตแรกไปแล้ว 1.6 แสนตัน โดยคาดว่ากรณีดังกล่าวจะเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ในวันที่ 2 พ.ค.นี้ เบื้องต้นจะใช้รูปแบบเดิม คือนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าบางปะกง ส่วนราคารับซื้อน้ำมันปาล์มดิบต้องรอมติกนป.ต่อไป สำหรับปริมาณการรับซื้อ 1 แสนตันจะเป็นล๊อตใหญ่ เพื่อต้องการกระตุ้นราคาผลผลิตปาล์มเพิ่มสูงขึ้น

นายวิบูลย์ กล่าวอีกว่า วันนี้กฟผ.ได้เปิดงานวันคล้ายวันสถาปนา กฟผ. ครบรอบ 50 ปี ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 ภายใต้แนวคิด "50 ปี กฟผ. เพื่อชีวิตที่ดีกว่าของคนไทย" ซึ่งในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา กฟผ. ดูแลความมั่นคงของระบบไฟฟ้าอย่างเพียงพอและทั่วถึงจากกำลังผลิตติดตั้ง 907 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 2512 จวบจนถึงปัจจุบัน กฟผ. ครบรอบวันสถาปนา 50 ปี ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งประเทศ 54,816 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 14,566 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 27 ของกำลังผลิตรวมทั้งประเทศ

ในส่วนด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. ได้พัฒนาระบบส่งเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศในกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทน ปัจจุบันสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ. มีความยาวทั้งสิ้น 35,088.156 วงจร-กิโลเมตร สถานีไฟฟ้าแรงสูงรวม 228 สถานี (ข้อมูล ณ วันที่ 1 เมษายน 2562)

สำหรับทิศทางการดำเนินภารกิจขององค์กรในอนาคต กฟผ. พร้อมปรับตัวและพร้อมรับมือเพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าให้รองรับกับสถานการณ์พลังงานและพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยจะพัฒนา Grid Modernization เพื่อดูแลระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะมีเพิ่มขึ้น เพื่อให้พลังงานไฟฟ้า ในอนาคตเป็นพลังงานสีเขียวโดยไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้า เช่น การปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant) เพื่อให้สามารถเพิ่มปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าหลักได้อย่างทันท่วงทีเมื่อพลังงานหมุนเวียนหายไป มีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) ทั้งโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage) และแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) นำร่อง 2 แห่ง คือ สถานีไฟฟ้าแรงสูงบำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ และ สถานีไฟฟ้าแรงสูงชัยบาดาล จ.ลพบุรี มีระบบการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า มีระบบส่งไฟฟ้าที่สื่อสารข้อมูลกับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะได้ และมีระบบการพยากรณ์และควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน (Renewable Forecast Center) เป็นต้น

นอกจากนี้ กฟผ. จะพัฒนาโรงไฟฟ้าของ กฟผ. สู่การเป็นโรงไฟฟ้าดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพสูง แม่นยำ ควบคุมและสั่งการผ่านระบบดิจิทัล มีระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ที่ข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ระบบ AI วิเคราะห์และประมวลผลการทำงาน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางในการควบคุมโรงไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้โรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพและมีความพร้อมจ่ายสูง โดยเริ่มที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรงไฟฟ้าจะนะ รวมทั้ง กฟผ. ยังได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จัดทำ National Energy Trading Platform (NETP) เพื่อรวบรวมข้อมูลการซื้อขายไฟฟ้าทั้งหมด ซึ่ง กฟผ. จะเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการข้อมูลของประเทศ

ด้านระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. มุ่งพัฒนาโครงข่ายระบบส่งไฟฟ้าของประเทศให้มีความมั่นคงแข็งแรง สามารถเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ขยายขอบเขตการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในระดับภูมิภาค (Grid Connectivity) พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางซื้อขายไฟฟ้าของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Power Grid) โดยในระยะแรกมีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศแบบพหุภาคีและมัลติ (Multilateral Power Trade) เช่น ลาว ไทย มาเลเซีย จะมีการเพิ่มปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าระหว่าง 3 ประเทศ สปป.ลาว ไทย และมาเลเซีย (LTM) จาก 100 เมกะวัตต์ เป็น 300 เมกะวัตต์ และจะขยายผลไป 4 ประเทศในอนาคต (LTMS) พร้อมทั้งมีการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก เชื่อมสายส่งระหว่าง สปป.ลาว ไทย เมียนมา เป็นต้น

นอกจากนี้ กฟผ. ยังมีการพัฒนานวัตกรรมพลังงานไฟฟ้าสู่รูปแบบใหม่ เป็นแบบ Hybrid เช่น ระบบ Wind Hydrogen Hybrid ซึ่งนำมาใช้ในโครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าลำตะคอง ระยะที่ 2 บริเวณอ่างพักน้ำตอนบนโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา จ.นครราชสีมา, โครงการโซลาร์ลอยน้ำในเขื่อน (Hydro -Floating Solar Hybrid) ซึ่งจะนำร่องติดตั้งที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี กำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งนับเป็นโครงการไฮบริดแห่งแรกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น ซึ่ง กฟผ. จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมเพิ่มเติมอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับพลังงานหมุนเวียน และความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ

ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวอีกว่า นอกจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีแล้ว กฟผ. ยังมีการพัฒนางานด้านชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นจากที่ดำเนินการมาตลอดระยะเวลา 50 ปี ซึ่ง กฟผ. ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ มากมายเพื่อดูแลสังคมชุมชนให้ "อยู่ดีมีสุข" อาทิ โครงการปลูกป่า กฟผ., โครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน, โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ, การคืนความรู้สู่สังคม ด้วย โครงการห้องเรียนสีเขียว และศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ทั่วประเทศ โดย กฟผ. มุ่งมั่นพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนให้ดีขึ้นตามแนวทางศาสตร์พระราชาและหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) อีกทั้ง กฟผ. ยังมีโครงการระยะยาวเพื่อชุมชน อาทิ เหมืองแม่เมาะจะหมดอายุในอีก 25 – 30 ปีข้างหน้า กฟผ. จะมีโครงการพัฒนาแม่เมาะให้เป็นเมืองน่าอยู่ (Mae Moh Smart City) ที่จะมีการบริหารจัดการด้านพลังงานและด้านต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้ชุมชนแม่เมาะ จ.ลำปาง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมและยั่งยืน เป็นต้น

"กฟผ. เชื่อมั่นว่า ทิศทางการดำเนินภารกิจและการปรับตัวขององค์กรและพนักงาน ด้วยการนำใช้ดิจิทัลมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และคล่องตัวเพิ่มขึ้น มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานไฟฟ้าให้สามารถรองรับกับทุกสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปและการแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น จะสามารถสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าได้ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความเติบโตให้กับเศรษฐกิจของประเทศ และ กฟผ. จะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้คนไทยทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข ดังปณิธานของ กฟผ. ที่ตั้งมั่นมาตลอดระยะเวลา 50 ปีและจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ว่า กฟผ. ผลิตไฟฟ้าเพื่อความสุขของคนไทย"นายวิบูลย์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ