พาณิชย์ เผย FTA ดันการค้าไทย-อินเดียโตสวนกระแส แนะผู้ประกอบการเร่งใช้ประโยชน์ กระตุ้นมูลค่าส่งออกไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday May 29, 2019 15:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการติดตามสถิติการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศคู่ค้า 18 ประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ได้แก่ อาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และอินเดีย พบว่าในภาวะที่การส่งออกไปประเทศคู่ค้าของไทยเริ่มชะลอตัว มูลค่าการค้าและการส่งออกไปอินเดียในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2562 (ม.ค.-เม.ย.) ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเอฟทีเอที่ไทยกับอินเดียมีร่วมกัน 2 ฉบับ ได้แก่ 1. เอฟทีเอไทย-อินเดีย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรสินค้าระหว่างกันแล้ว 83 รายการ ตั้งแต่ปี 2549 เช่น เงาะ ลำไย มังคุด ทุเรียน อาหารทะเลกระป๋อง อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น และ 2. เอฟทีเออาเซียน-อินเดีย ทั้งสองฝ่ายได้ลดภาษีศุลกากรสินค้ากว่า 4,145 รายการ เหลือ 0% แล้ว เช่น เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก อัญมณีและเครื่องประดับ ชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ เครื่องสำอาง ผักและพืชประเภทถั่ว อาหารปรุงแต่ง และน้ำผลไม้ เป็นต้น

ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอินเดียในช่วงม.ค.-เม.ย.62 อยู่ที่ 4,277.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยไทยส่งออกไปอินเดียเป็นมูลค่ากว่า 2,650.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2.4% ขณะที่ไทยนำเข้าจากอินเดียเป็นมูลค่า 1,627.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.4%

สำหรับสินค้าส่งออกจากไทยที่มีการใช้สิทธิเอฟทีเอสูงเป็นอันดับต้นๆ ภายใต้เอฟทีเอไทย-อินเดีย เช่น เครื่องปรับอากาศ โพลิคาร์บอเนต ตู้เย็นที่มีตู้แช่แข็ง โพลิอะซีทัล และโพลิอีเทอร์อื่นๆ เป็นต้น และภายใต้เอฟทีเออาเซียน-อินเดีย เช่น อีพอกซิโพรเพน (อีพิคลอโรไดริน) ลวดทองแดงเจือ เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ น้ำมันดิบ และส่วนประกอบและอุปกรณ์รถแทรกเตอร์ ขณะที่สินค้านำเข้ามาในไทยที่มีการใช้สิทธิเอฟทีเอสูงเป็นอันดับต้นๆ ภายใต้เอฟทีเอไทย-อินเดีย เช่น องุ่นสดหรือแห้ง เกลือ ผลไม้สด (กีวี สตรอเบอรี่ ลูกพลับ) เหล็กกล้า เครื่องอัดลม (สำหรับเครื่องปรับอากาศ) ที่นั่งและส่วนประกอบ และส่วนประกอบเครื่องยนต์ เป็นต้น และภายใต้เอฟทีเออาเซียน-อินเดีย เช่น พริกแห้ง ด้ายฝ้าย ส่วนประกอบ/อุปกรณ์ยานยนต์ ยางนอกชนิดอัดลม ผ้าทอทำด้วยฝ้าย ยารักษาหรือป้องกันโรค และกระเบื้องปูพื้น เป็นต้น

"อินเดียถือเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีขนาดเศรษฐกิจเป็นลำดับที่ 5 ของโลก มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน ขนาดพื้นที่กว่า 3.2 ล้านตารางกิโลเมตร ผู้ประกอบการไทยจึงไม่ควรมองข้ามโอกาสจากตลาดขนาดใหญ่อย่างอินเดีย และควรพยายามศึกษาและทำความเข้าใจการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ รวมทั้งขยายการลงทุนทำธุรกิจในประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น" นางอรมน กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ