แบงก์ออมสิน คาดศก.ไทยปีนี้โต 3.6% ชะลอตัวจากสงครามการค้า-บาทแข็ง คาดปีหน้าโต 3.5%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 25, 2019 14:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน คาดว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2562 จะขยายตัวอยู่ที่ 3.6% ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าและบริการ ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน ขณะที่เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ 3.5%

สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น (2) การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้จากความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐและเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ประกอบกับตัวเลขส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (3) มาตรการพยุงเศรษฐกิจผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยประคองกำลังซื้อของภาคครัวเรือน (4) อัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำและราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง เป็นผลดีต่อต้นทุนทางธุรกิจ (5) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ

สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ได้แก่ (1) ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าและบริการ (2) การใช้จ่ายของภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย และการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่อาจไม่เป็นไปตามแผน (3) เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง กระทบต่อกำลังซื้อของชาวจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อหลัก ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi-End มีแนวโน้มลดลง (4) หนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มด้อยลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน (5) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลง

ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีแนวโน้มด้อยลงจากการเกินดุลการค้าและดุลบริการที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงตามกำลังซื้อภายในประเทศ ในขณะเดียวกันทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินยังมีแนวโน้มผ่อนคลาย เพื่อประคองเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (Macro Prudential) และมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (Micro Prudential) รวมทั้งมาตรการดูแลการแข็งค่าของเงินบาท ด้วยการลดปริมาณการขายพันธบัตรระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย จะสามารถดูแลในจุดที่มีความเปราะบาง ทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาว ภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงการชะลอตัว ของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ