นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ออกไปก่อนหน้านี้จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายในระบบมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไปด้วย อีกทั้งที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการปรับตัวได้ดีอยู่แล้ว
รมว.คลัง กล่าวว่า ได้หารือกับสมาคมธนาคารไทยวานนี้ (21 ส.ค.) โดยได้สอบถามถึงการปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งธนาคารพาณิชย์ยอมรับว่าได้ผลกระทบจากมาตรการคุมสินเชื่อภาคอสังหริมทรัพย์ (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แต่ลูกค้าและผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเข้าใจถึงมาตรการที่ออกมา ทำให้การปล่อยกู้เริ่มขยับตัวดีขึ้น
"เรื่องของมาตรการ LTV ของ ธปท. ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า ธปท. มีเหตุผลที่เหมาะสม เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์จึงออกมาตรการนี้มา แต่ผู้ประกอบการก็ปรับตัวได้ดี จากไตรมาสแรกถึงไตรมาสสองมีการปรับตัวดีขึ้นมาก และก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน ซึ่งเม็ดเงินเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว โดยเชื่อว่าจะส่งผลดีให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 3% ตามที่สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ และกระทรวงการคลังคาดการณ์" นายอุตตม กล่าวรมว.คลัง กล่าวว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ถือว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และจากปัจจุบันที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีปัญหาจากผลกระทบของสงครามการค้า และมีแนวโน้มถดถอย ซึ่งเศรษฐกิจไทยเองก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ส่อสัญญาณไม่ดี โดยจะเห็นได้จากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบไปถึงกำลังซื้อของประชาชน ซึ่งเชื่อว่าภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็รับรู้ได้ถึงอุปสงค์ที่ได้รับผลกระทบ
พร้อมมองว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อาจจะชะลอตัวไปจากปัจจัยแวดล้อม และโดยส่วนตัวเชื่อว่าการที่ ธปท.ออกมาตรการกำกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) นั้น ธปท.มีเหตุผลเหมาะสมที่จะแสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในภาคอสังหาฯ จึงได้บังคับใช้มาตรการ LTV อย่างไรก็ดี เชื่อว่าผู้ประกอบการจะสามารถปรับตัวและวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อรับมือได้เป็นอย่างดี
"อสังหาฯแห่งอนาคตจะเป็นอย่างไรนั้น มองว่าคงต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่รูปแบบเดิมๆ ต้องดูว่าเขาต้องการที่อยู่อาศัยแบบไหน เทคโนโลยีใหม่ๆ จะนำมาใช้ได้มีอย่างไรบ้าง" นายอุตตม กล่าวในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "นโยบายเศรษฐกิจ กับทิศทางอสังหาฯ"รมว.คลัง ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะดีขึ้นกว่าปีนี้ แต่ทั้งนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนที่ต้องติดตาม เพราะหากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวคลี่คลาย เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อไทย โดยเฉพาะภาคการส่งออก แต่สิ่งสำคัญ คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศ เพื่อรองรับกับปัจจัยภายนอกประเทศที่อาจจะเกิดขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 3.16 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นชุดมาตรการเพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างประเทศ รวมทั้งเมื่อมองไปข้างหน้าแล้วจะต้องช่วยให้เศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทยยังขยายตัวได้อย่างน่าพอใจ โดยรัฐบาลมุ่งหวังว่าชุดมาตรการที่ออกมาล่าสุดนี้ จะช่วยดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ถึง 3% ขณะเดียวกัน ต้องการให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการออกไปจับจ่ายใช้สอยและมีเม็ดเงินที่มาช่วยหมุนเวียนระบบเศรษฐกิจในประเทศ และยืนยันว่าไม่ใช่การหว่านเงินไปโดยเสียเปล่า
"สิ่งที่รัฐบาลทำ เพื่อต้องการช่วยผลักดันเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะนอกจากต้องจับตาใกล้ชิดว่าเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไรแล้ว ต้องจับชีพจรเศรษฐกิจของเราด้วยว่าเป็นอย่างไร การออกมาตรการต้องตอบโจทย์ และทันการณ์ ซึ่งเราเชื่อว่าทัน" นายอุตตม กล่าว