ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.77 อ่อนค่าจากช่วงเช้าหลังมีแรงซื้อดอลล์ ตลาดยังจับตาความตึงเครียดสหรัฐฯและจีน-ตัวเลขศก.สหรัฐฯ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday July 23, 2020 17:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ที่ระดับ 31.77 บาท/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่ เปิดตลาดที่ระดับ 31.61 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเคลื่อนไหวระหว่าง 31.60-31.72 บาท/ดอลลาร์

"วันนี้มีแรงซื้อดอลลาร์กลับเข้ามา ทำให้เงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง ขณะที่ Flow ธุรกรรมทองคำยังคงค่อนข้างเยอะ"นัก
บริหารเงินระบุ

ทั้งนี้ คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.65 - 31.75 บาท/ดอลลาร์ โดยตลาดยังติดตามประเด็นความสัมพันธ์ ระหว่างสหรัฐฯกับจีน โดยต้องจับตาดูท่าทีของทั้งสองฝ่าย คืนนี้จะมีข้อมูลตัวเลขการขอรับสวัสดิการการว่างงานประจำสัปดาห์ของสหรัฐฯ

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 107.15 เยน/ดอลลาร์ จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 107.13 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1590 ดอลลาร์/ยูโร จากตอนเช้าที่อยู่ที่ระดับ 1.1573 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,359.65 จุด เพิ่มขึ้น 2.61 จุด, +0.19% มูลค่าการซื้อขาย 70,233.10 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 2,045.45 ลบ.(SET+MAI)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวว่าประเทศไทยและไต้หวันอาจจะถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
จับตาว่าเป็นประเทศที่มีการแทรกแซงค่าเงิน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ นั้น ขอเรียนว่า ธปท. ได้หารือกับกระทรวง
การคลังสหรัฐฯ มาอย่างต่อเนื่องเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดการเงินโลก พัฒนาการของการเกินดุลบัญชี
เดินสะพัดของประเทศไทย และความจำเป็นของ ธปท.ที่ต้องเข้าดูแลเพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินในบางช่วงจังหวะเวลาที่มีเงินทุนไหลเข้า
อย่างเฉียบพลันจากการปรับมุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดการเงินโลกและในประเทศอุตสาหกรรมหลัก
  • ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย.63 อยู่ที่
ระดับ 80.0 เพิ่มขึ้นจากระดับ 78.4 ในเดือนพ.ค.63 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลผ่อนปรน
มาตรการควบคุมโควิด-19 ระยะที่ 3 และ 4 รวมทั้งยกเลิกคำสั่งห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิวส์) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถ
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น
  • โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยยอดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือน
มิ.ย.63 ว่า ส่งออกได้ 50,549 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 48.71% โดยส่งออกลดลงทุกตลาด เนื่องจากประเทศคู่ค้ายังคง
ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 29,238.83 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 43.06%
  • ประธานคณะอนุกรรมการฟื้นฟูหลัง โควิด-19 เปิดแผนฟื้นฟูหลังสถานการณ์โควิด-19 ว่า จะมุ่งเน้นการพัฒนา 6
อุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญ และอุตสาหกรรมดั้งเดิม 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์ สนับสนุนการใช้สินค้าไทย (Made in Thailand) เน้น
การพัฒนาห่วงโซ่การผลิตตลอดซัพพลายเชน ลดการพึ่งพิงชิ้นส่วนนำเข้าจากต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตร
และอาหาร
  • ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีแรง
งานที่ถูกพักงานจากสถานประกอบการที่ใช้มาตรา 75 หยุดกิจการชั่วคราว จำนวน 4,458 แห่ง ส่งผลกระทบต่อลูกจ้าง จำนวน
896,330 คน และมีแรงงานที่ว่างงานจากกรณีลาออก เลิกจ้าง สิ้นสุดสัญญาจ้าง ณ เดือนพฤษภาคม 2563 จำนวน 332,060 คน มีผู้
ประกันตน ตามมาตรา 33 ที่ใช้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงานฯ 62% กว่า 1,369,589 คำร้อง และคาดจะมีเพิ่มขึ้นอีกในช่วงเดือนสิงหาคม
ถึงเดือนตุลาคม 2563 หากมีการขยายมาตรการฯ กว่าอีก 800,000 คน รวมจะมีลูกจ้างในระบบที่ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 3,397,979
คน
  • ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) จะเป็นอุตสาหกรรม
ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการยุคใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งในอนาคตและสถานการณ์โควิด-19 เห็นได้จาก 3 อุตสาหกรรมหลักที่ได้รับอานิสงส์
ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากทั่วโลก ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เวชภัณฑ์และเคมีภัณฑ์รักษาโรค และอาหาร โดย
จะต้องเตรียมศักยภาพแรงงานไทยให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่อุตสาหกรรมวิถีใหม่
  • นายกสมาคมค้าทองคำ ระบุว่า ราคาทองคำของในประเทศทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้ว แต่คาดการณ์ว่าราคาทองในประเทศปี
นี้จะไม่ถึง 30,000 แน่นอน เว้นแต่ว่าจะมีปัจจัยที่กระทบแรงๆ เข้ามาเพิ่มเติม แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุน
  • UBS ซึ่งเป็นสถาบันการเงินรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ จากเดิม
ซึ่งคาดการณ์ไว้ที่ 1.5% มาเป็น 2.5% เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวและมีการลงทุนที่แข็งแกร่ง
  • สื่อต่างประเทศ รายงานว่ารัฐบาลจีนกำลังพิจารณาที่จะปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองอู่ฮั่น เพื่อตอบโต้รัฐบาลสหรัฐที่สั่งให้จีน
ปิดสถานกงสุลในเมืองฮิวสตัน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ