ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 31.35 ธุรกรรมเบาบาง ตลาดรอติดตามผลประชุม ECB พรุ่งนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday September 9, 2020 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 31.35 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเล็กน้อยจาก ช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 31.39 บาท/ดอลลาร์

ภาพรวมตลอดทั้งวันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากธุรกรรมเบาบาง และยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามาส่งผลกับทิศ ทางค่าเงินในตลาดมากนัก ขณะที่วันพรุ่งนี้ ต้องรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ว่าจะมีการส่งสัญญาณการผ่อนคลาย นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 31.30 - 31.50 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 105.87 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 105.92 เยน/ดอลลาร์
  • เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1745 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1775 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,293.40 จุด ลดลง 0.40 จุด (-0.03%) มูลค่าการซื้อขาย 47,501 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 806.32 ลบ.(SET+MAI)
  • คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดเศรษฐกิจไทยช่วงที่เหลือของปี 63 ยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง
เพราะต้องเผชิญกับเศรษฐกิจโลกที่เริ่มเสียโมเมนตัมในการฟื้นตัว หลังจากมีการระบาดของไวรัสโควิดระลอกสองในหลายประเทศที่เป็นคู่
ค้าสำคัญ ส่วนในไทยคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะหดตัวในกรอบ -9 ถึง -7% ส่วนการส่งออกหดตัว -12 ถึง -10% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป -1.5
ถึง -1%
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ส.ค.63
อยู่ที่ 51.0 จาก 50.1 ในเดือน ก.ค.63 โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยมีปัจจัยบวกจากคณะ
กรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50%, รัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ 5 หลังสถานการณ์โควิด-
19 ดีขึ้น, รัฐบาลดำเนินมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ, ราคาน้ำมันดีเซล
ในประเทศปรับตัวลดลง
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินเบื้องต้นว่ามาตรการที่ภาครัฐจะออกมาช่วยเหลือใน
เรื่องการจ้างแรงงาน หรือการกระตุ้นการใช้จ่ายจากมาตรการ "คนละครึ่ง" ด้วยการให้เงิน 3,000 บาท แก่ประชาชน 15 ล้านคน
โดยใช้งบ 45,000 ล้านบาทนั้น จะทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 9 หมื่นล้านบาท และหมุนเวียในระบบถึง 2 รอบ ซึ่งช่วยกระตุ้น
เศรษฐกิจในไตรมาส 4/63 ให้เพิ่มขึ้นได้ 1-1.5%
  • ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน เปิดเผยว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะหดตัว 12.2% แต่ก็เริ่มมีสัญญาณบวก
จากความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามใกล้ชิด ขณะเดียวกันมาตรการ
กระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลควรเร่งแก้ไขไตรมาส 4 โดยเร็ว ด้วยการเร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน รวมถึงมาตรการกระตุ้นการท่อง
เที่ยวภายในประเทศที่แม้ว่ารัฐบาลจะได้ดำเนินการอยู่แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยได้ จึงจำเป็นต้องผลักดัน
มาตรการผ่อนคลายการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 4 ปี 2563 นี้ด้วย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการ
เข้ามาพำนักในประเทศไทยในระยะยาว
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยความคืบหน้าของมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจที่ได้
รับผลกระทบจากโควิด 19 จากข้อมูลล่าสุด ณ 31 ก.ค.63 มีลูกหนี้ที่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินทั้งสิ้น 7.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น
12.5 ล้านบัญชี โดยลักษณะการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้ธุรกิจ ครอบคลุมทั้งการเลื่อนพักชำระหนี้ การลด
ภาระผ่อนชำระต่อเดือนด้วยการขยายระยะเวลาชำระหนี้ตามสัญญา การลดอัตราดอกเบี้ย รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ด้วยการปรับ
เงื่อนไขการชำระหนี้ตามสัญญาใหม่
  • เลขาธิการสภาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้าการใช้เงินกู้ตามพ.ร.ก.
ในส่วนของแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 400,000 ล้านบาทว่า ในบ่ายวันนี้ทางคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการจะพิจารณาโครงการ
เพิ่มเติมวงเงินราว 2-3 หมื่นล้านบาท ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์หน้า
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน
ปรับตัวลง 2% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงน้อยกว่าในเดือนก.ค.ที่ปรับตัวลง 2.4% โดยข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า
กิจกรรมในภาคอุตสาหกรรมและอุปสงค์ในตลาดจีนเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดต่างประเทศ เช่น น้ำมันดิบ แร่เหล็ก
โลหะที่ไม่มีเหล็กผสม ยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศปรับตัวขึ้นด้วย
  • ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินสด 1.2 แสนล้านหยวน (1.75 หมื่นล้านดอลลาร์) เข้าสู่ระบบธนาคารในวันนี้ ผ่านทางข้อ
ตกลง reverse repos ประเภทอายุ 7 วัน ที่อัตราดอกเบี้ย 2.2% โดยมีเป้าหมายที่จะรักษาสภาพคล่องในระบบให้เพียงพอและอยู่ใน
ระดับที่เหมาะสม
  • ตลาดรอติดตามผลประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพรุ่งนี้ รวมถึง

รอดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ