(เพิ่มเติม1) กกร.ปรับคาดการณ์ GDP ปี 64 โตในกรอบ 1.5-3.5% หากคุมโควิดได้ใน 3 เดือน

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 6, 2021 12:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 64 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% ถึง 3.5% หากควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าขยายตัวได้ 2.0% ถึง 4.0% เช่นเดียวกับ ประมาณการการส่งออกในปี 64 ที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.0%

กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 63-64 ของ กกร.

%YoY              ปี 2563           ปี 2564             ปี 2564
                 (ธ.ค.63)         (ธ.ค.63)           (ม.ค.64)
GDP            -7.0 ถึง -6.0      2.0 ถึง 4.0         1.5 ถึง 3.5
ส่งออก          -7.0 ถึง -6.0      4.0 ถึง 6.0         3.0 ถึง 5.0
เงินเฟ้อ            -0.85          0.8 ถึง 1.2         0.8 ถึง 1.0

กกร.ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก การท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตลอดครึ่งหลังของปี 63 ไม่สามารถเดินต่อได้ชั่วคราว หลังจากมีมาตรการเข้มงวดจำกัด การเดินทางในหลายจังหวัดที่มีประชากรมากหรือเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวในประเทศ คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน และยังส่งผลลบ ต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน

สำหรับกิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจาก ประเทศสำคัญๆ ใน Global supply chain อย่างจีนและไต้หวันยังควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งนี้ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปี 64 อยู่ภาย ใต้ข้อจำกัดจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกรวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า

ภาครัฐควรเร่งหามาตรการควบคุมโรคระบาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบ ประการแรก ต้อง เร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด ควรจะ focus แม่นยำ ตรงจุด ถึงต้นตอการแพร่ กระจายทั้งนี้ขอให้ควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสมเพื่อระงับการแพร่ระบาด และเร่งจับผู้กระทำผิดทั้งบ่อนการพนัน และการ นำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าของประเทศว่าปัญหาการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มาจากคนสู่คน ไม่ ใช่จากอาหารหรือสินค้าสู่คน

ประการที่สอง ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการให้ชัดเจนปฏิบัติ ได้เร็วและให้ส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคลเป็น 5,000 บาท มาตรลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลด ค่าไฟ 5%รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Warehousing และ บสย. อย่างมีประสิทธิภาพ

ประการที่สาม เร่งรัดเรื่องวัคซีนให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลาและมีปริมาณที่เพียงพอรวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม

ประการที่สี่ เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง RCEP ในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือน พ.ย. 63 มีผลบังคับใช้กลางปีนี้ เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง

"สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กกร.ปรับลดคาดการณ์ และการส่งออกยังมีปัญหาเรื่องขาดแคลนตู้ขนส่ง สินค้า" นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าว

นายกลินท์ เชื่อว่า รัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ต้องประสานทุกภาคส่วนให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ขณะที่ กก ร.พร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล ส่วนความเสียหายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นั้นคงยังไม่สามารถประเมินได้ ในขณะนี้ ต้องรอประเมินสถานการณ์กันเป็นรายเดือนไป

"มาตรการที่ออกมาต้องให้ตรงจุด ไม่เหมารวม ให้หว่านไปทั่วคงไม่เหมาะ" นายกลินท์ กล่าว

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ขอให้ภาครัฐย้ำเรื่องการระบาด เกิดจากคนสู่คนให้ชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าไม่กระทบต่อสินค้า ส่วนการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ยังมีแนวโน้ม ไม่ดี ตัวเลขคงยังไม่เป็นบวก เนื่องจากมีหลายปัญหา เช่น ขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า เงินบาทแข็งค่า เริ่มมีหลายประเทศล็อคดาวน์ ขณะที่ผล กระทบเรื่องแรงงานนั้นยังไม่ชัดเจน แต่ก็มีความเป็นห่วงเรื่องการตกงาน

ขณะที่นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นยัง เดินหน้าต่อไป ส่วนจะมีมาตรการเพิ่มเติมให้ตรงจุดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นยังอยู่ระหว่างการหารือกัน ซึ่งเรื่องนี้สถาบันการเงินก็ ต้องดูแลลูกค้าแบบ Win-Win เพราะถึงอย่างไรก็มีผลกระทบต่อสถาบันการเงินเอง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ