รมว.ดีอีเอส ย้ำไม่ได้โอนสิทธิสัมปทานให้ THCOM บริหารเพียงร่วมมือกันเพื่อส่งต่อ NT

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 7, 2021 17:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวถึงหลังจากดาวเทียมไทยคม 4 และ 6 หมดอายุสัญญาสัมปทาน บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) รับมาบริหารต่อ แต่การทำงานก็ต้องร่วมกับ บมจ.ไทยคม (THCOM) เพราะเป็นผู้บริหารก่อนหน้า ที่จะส่งมอบทรัพย์สิน หรือบริหารจัดการ โดย THCOM จะทำงานร่วมกัน 3 เดือน และส่งมอบทรัพย์สินให้รัฐเสียก่อน

โดยการส่งมอบดาวเทียมไทยคมจะรวมถึงฐานลูกค้า ซึ่งทางเราจะติดต่อกับลูกค้า อาทิ ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ก็จะมาจ่ายค่าบริหารให้ NT แทน THCOM ยกเว้นลูกค้าต่างชาติที่ไม่สะดวกติดต่อ โดยช่วงแรกจะให้ THCOM เป็นตัวแทนจำหน่ายดำเนินการให้ก่อน ขณะที่ NT จะเข้าบริหารดาวเทียมไทยคมให้มีความต่อเนื่อง โดยสัญญาผู้ให้บริการและผู้รับบริการก็ต้องมาทำกันใหม่กับ NT

อย่างไรก็ดี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ได้มอบหมายให้ไปพิจารณาคดีความในอดีตที่มีการฟ้องร้องกันตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งก็มีการวินิจฉัยการทุจริตเกี่ยวกับการปรับเงื่อนไขสัมปทานดาวเทียม ได้แก่ ดาวเทียมไทยคม 4 หรือดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่เคยอยู่ในการวินิจฉัยว่าไม่ได้อยู่ในสัญญาสัมปทาน ซึ่งเรื่องนี้ได้ให้ ครม.ให้ความเห็นชอบรับโอนมาได้ แม้ได้รับการวินิจฉัยว่าไม่ได้อยู่ในสัญญาสัมปทาน

ทั้งนี้ NT รับโอนทรัพย์สิน ไม่มีหนี้สิน แล้วนำมาบริหารเพื่อให้บริการประชาชน มาหารายได้ต่อ

"คนอาจวิตกกันมาก แต่ในทางเทคนิคและกฎหมาย ทางกระทรวงก็ทำอย่างตรงไปตรงมา ตรวจสอบหมดแล้วก็ไม่น่ามีข้อผิดพลาดอะไร... ทั้งหมดที่ทำมาอะไม่ได้มีเจตนาทุจริตอะไรทั้งสิ้นก็ทำตามกฎหมาย แต่ส่วนที่ร่วมงานกับไทยคมก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่า เขาเป็นผู้ให้บริการที่ทำมา 30 ปี และเมืองไทยก็ทำอยู่คนเดียวที่เชี่ยวชาญเรื่องดาวเทียม แต่ไม่ได้โอนสิทธิสัมปทานให้เขาต่อ "นายชัยวุฒิ กล่าวผ่านรายการโทรทัศน์

จากการตรวจเอกสารในอดีต พบว่า การโอนทรัพย์สินเริ่มตั้งแต่วันที่สร้างเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เมื่อสร้างเสร็จก็ต้องโอนทรัพย์สินมาให้ทางรัฐ โดยที่ผ่านมาไม่เคยโอนในส่วนอัพลิ้งค์ดาวน์ลิ้งค์มา โอนแต่ตัวดาวเทียมและสถานีควบคุม ซึ่งเป็นข้อตกลงในอดีตที่ทำเป็นข้อตกลงกันมาแล้วตั้งแต่รัฐบาลในอดีต ก็ต้องรับตามนี้ไป ซึ่งไม่ได้เป็นการตกลงในรัฐบาลนี้ อย่างไรก็ดีก็ต้องมาดูข้อกฎหมายกันอีกครั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ