ก.พลังงาน เสนอ ครม.ตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 27, 2007 09:24 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

กระทรวงพลังงานจะเสนอให้ ครม.พิจารณาร่าง พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน(องค์การมหาชน) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมนโยบายของรัฐบาลในการที่จะนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในกิจการพลังงานและพัฒนาระบบการขนส่ง เนื่องจากปัจจุบันการลงทุนด้านนี้ต้องใช้ต้นทุนสูง แต่ได้ผลตอบแทนช้า และไม่สามารถคืนกำไรได้ในระยะสั้น แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่าการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปลงทุนควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์และเสถียรภาพของกองทุนเป็นสำคัญเพื่อให้สอดคล้องกับภาระรายจ่ายของกองทุน ขณะที่สภาพัฒน์ให้ความเห็นว่าควรเพิ่มเติมแหล่งที่มาของเงินทุน รวมถึงกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนี้การกำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้ควรส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในกิจการพลังงานทดแทนด้วย ส่วนวาระอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ กระทรวงศึกษาธิการจะเสนออนุมัติต่อสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาที่ดินบริเวณสยามสแควร์ของโรงแรมโนโวเทลสยามสแควร์ระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับบริษัท สยามสแควร์ทาวเวอร์ จำกัด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐปี 35 โดยจะต่อสัญญาเช่าอีก 20 ปี จากเดิมที่จะหมดสัญญาในวันที่ 9 พ.ย.2557 ออกไปอีก 20 ปีเป็นวันที่ 8 พ.ย.2577 โดยตลอดสัญญาจะได้รับผลตอบแทน 2,778.55 ล้านบาท "หากทำสัญญาในปี 50 ในวันทำสัญญาเช่าทางจุฬาฯ จะได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนการได้สิทธิการเช่าตามสัญญาเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 280 ล้านบาท" แหล่งข่าว กล่าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ทำสัญญาให้บริษัท สยามสแควร์ทาวเวอร์ จำกัด เช่าที่ดินดังกล่าวบริเวณสยามสแควร์ ซอย 6 เนื้อที่ 1 ไร่่ 3 งาน 54 ตารางวา เป็นเวลา 30 ปี ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.27 โดยกำหนดเงื่อนไขในสัญญาเดิมให้บริษัทเป็น สยามสแควร์ทาวเวอร์ ผู้ได้รับสิทธิในการต่อสัญญาเช่าก่อนบุคคลอื่น ขณะที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องนี้เป็นกรณีที่จุฬาฯ ทำสัญญาให้บริษัทเดิมเช่าที่ดินโดยไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป เนื่องจากเป็นการปฎิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเดิมที่กำหนดให้ผู้เช่าเดิมได้สิทธิในการต่อสัญญาก่อนบุคคลอื่น ซึ่งกระทรวงการคลัง มหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) และสำนักงายอัยการสูงสุดไม่ขัดข้อง แต่การต่อสัญญาเช่านานถึง 20 ปีจำเป็นต้องมีการเจรจาเพื่อหาผลตอบแทนที่สูง ส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรจะเสนอแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสินค้าเกษตรอินทรีย์สู่มาตรฐานสากล ปีงบประมาณ 51-52 เพื่อใช้เป็นกรอบในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรและเครือข่ายเกษตรกรลดการใช้สารเคมีในการผลิตเข้าสู่ระบบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์มากขึ้น ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก จนถึงผู้บริโภค โดยคาดว่าในปี 51-52 จะเพิ่มพื้นที่การผลิตเกษตรอินทรีย์ทั้งด้านพืชปศุสัตว์และสัตว์น้ำ เช่น ข้าว ผัก ผลไม้ กุ้ง ปลา เนื้อสัตว์ เป็นต้นรวม 2 แสนไร่ พร้อมทั้งให้สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ(มกอช.) ใช้งบ 10 ล้านบาทในการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการเทียบเคียงมาตรการเกษตรอินทรีย์ไทยกับประเทศคู่ค้ารวมทั้งกระตุ้นให้ผู้มีส่วนได้เสียมีความรู้ความเข้าใจเกษตรอินทรีย์ที่ถูกต้อง ขณะเดียวกันพบว่าในปัจจุบันตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ของโลกมีมูลค่าปีละไม่น้อยว่า 1.5 ล้านล้านบาท ความต้องการของตลาดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งตลาดที่สำคัญเช่น ยุโรปและสหรัฐฯ ที่ต้องการนำเข้าสินค้าประเภทนี้ เนื่องจากผลผลิตไม่่เพียงพอจึงเป็นโอกาสดีสำหรับประเทศไทยที่จะผลิตเพื่อการส่งออก นอกจากนี้ นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอให้ ครม.อนุมัติจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางวิชาการด้านฟิสิกส์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ