ภาคเอกชนประเมินขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยภายหลังการเลือกตั้งในเดือน ธ.ค.นี้ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องจากปัจจุบัน เนื่องจากขาดประสิทธิภาพในเรื่องการบริหารการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ บุคคลากร และทุน ตลอดจนการออกกฎหมายของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่มีมาตรการที่เข้มงวดกวดขันและเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ "ขีดความสามารถในการแข่งขันของคนไทยกำลังจะตก และอาจจะตกต่อหลังการเลือกตั้ง เนื่องจากปัญหาด้านกฎหมายที่ออกโดย สนช.มีความเข้มงวดมากเกินไป" นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) กล่าวในการสัมมนาประจำปีของสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย นายณรงค์ชัย เสนอให้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งพิจารณาทบทวนเรื่องกฎหมายทางธุรกิจต่างๆ ให้มีความผ่อนคลายและส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะยอมรับว่ารัฐบาลชุดใหม่ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลผสมอาจเกิดปัญหาเรื่องการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบาย แต่เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องมีการตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ผ่านมาการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยก็ล่าช้ากว่าประเทศอื่น โดยปัจจุบันตกจากอันดับที่ 29 มาอยู่ที่อันดับที่ 32 และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงอีก เนื่องจากมีการคาดการณ์กันว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้ามีแนวโน้มชะลอตัวลง ด้านนายประพัฒน์ โพธิวรคุณ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีแผนวิจัยและพัฒนาในเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ต้องรีบเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเรื่องโลจิสติกส์อย่างเร่งด่วน เนื่องจากที่ผ่านมาการพัฒนายังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร