นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นำเสนอมุมมองที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงการต่างประเทศว่า ต้องมองไปข้างหน้า ครอบคลุมหลายมิติ เพื่อสร้างรายได้และแก้ปัญหาให้กับประชาชน ทำให้ไทยหลุดพ้นกับดับรายได้ปานกลาง และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการรับมือกับความท้าทาย โดยการทูตต้องเป็นของทุกคน เปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วม นำไปสู่ประโยชน์ที่จับต้องได้
นายปานปรีย์ กล่าวว่า โลกทุกวันนี้ มีหลายขั้วอำนาจที่แข็งขันกัน ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นโอกาสและความท้าทายในตัว ซึ่งความท้าทายประกอบด้วย คือหลายประเทศถูกกดดันให้เลือกข้าง โดยมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศพันธมิตร ความท้าทายต่อมา คือความผันผวนทางเศรษฐกิจ เช่น ปัญหาหนี้ การลดบทบาทเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงความท้าทายในเรื่องการแข่งขันทางเทคโนโลยี ทั้งการแย่งชิงวัตถุดิบ การจัดเก็บและบริการข้อมูล และความมั่นคงทางไซเบอร์
ทั้งนี้ การทูตเศรษฐกิจของไทย ต้องช่วยเพิ่มอำนาจต่อรอง และสร้างดุลยภาพในการดำเนินความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศต่างๆ และช่วยกระจายความเสี่ยงในด้านเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว พลังงานทดแทน บริการด้านดิจิทัล และเกษตรกรรมที่ยั่งยืน เพื่อสร้างงานใหม่ๆ โดยผ่านความสัมพันธ์กับประเทศที่มีอิทธิพลด้านการเมือง เศรษฐกิจคู่ค้า และนักลงทุนที่สำคัญของไทย เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอินเดีย
ขณะเดียวกัน ไทยต้องมีการเพิ่มพูนปฏิสัมพันธ์กับประเทศที่มีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทยด้วย เช่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย สหภาพยุโรป และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตุรกี ซึ่งไทยต้องเร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยายหุ้นส่วนกับต่างประเทศ ทั้งด้านผลิต บริการ การวิจัย และพัฒนา เพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจไทย พัฒนา และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไทยต้องสนับสนุนให้เอเชียมีเสถียรภาพ ไม่ใช่เวทีเผชิญหน้า แต่เป็นภูมิภาคแห่งความร่วมมือ ความสงบ ที่สำคัญไทยสนับสนุนให้อาเซียนเข้มแข็ง มีเอกภาพ เป็นแกนกลางความร่วมมือในภูมิภาค
ทั้งนี้ เน้นย้ำว่า ไทยใช้การทูตเศรษฐกิจ เพื่อก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก สอดคล้องกับค่านิยมสากล ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และใช้เป็นหัวหอกของการทูตยุคใหม่ หาโอกาสใหม่ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจดิจิทัล นวัตกรรม พัฒนาผู้ประกอบการรวมทั้งคนรุ่นใหม่ การส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ การให้สิทธิประโยชน์กับนักลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต และจะเร่งเจรจา FTA ที่ยังไม่คืบหน้า เช่น สหภาพยุโรป และไทยจะมีการขยายพันธมิตรทางเศรษฐกิจผ่านกรอบความร่วมมือทุกระดับ
นอกจากนี้ กระทรวงต่างประเทศ มีสำนักงานในต่างประเทศ 97 แห่ง ภายใต้ทีมประเทศไทย โดยในช่วงปลายปีนี้ จะเชิญเอกอัครราชทูตไทยทั่วโลกมาประชุมระดมสมองร่วมกัน เพื่อวางแผน และขับเคลื่อนงานด้านต่างประเทศ ร่วมกับทุกภาคส่วน
"นโยบายต่างประเทศ ต้องสอดคล้องและส่งเสริมนโยบายภายในประเทศของรัฐบาล เพื่อปากท้อง การกินดี อยู่ดี มีงานทำ และส่งเสริมให้ไทยกลับมาอยู่ในจอเรดาร์ของการเมือง และเศรษฐกิจโลกอย่างภาคภูมิ ให้ภาคธุรกิจไทยเติบโตได้ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในบทบาทของประเทศไทย และคนไทย" นายปานปรีย์ กล่าว