นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวภายหลังการหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ถึงกรอบนโยบายการเงินปี 2568 ว่า สิ่งที่ได้หารือกันในวันนี้ ธปท.มีความเข้าใจในเจตนาและนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต ซึ่ง ธปท. เองก็มีจุดประสงค์ที่ชัดเจนในการทำนโยบายการเงิน รวมถึงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
รมว.คลัง กล่าวว่า การกำหนดกรอบเงินเฟ้อนั้น หากจะยังอยู่ที่ 1-3% ก็รับได้ เพียงแต่ทั้ง ธปท. และ กนง. จะต้องมีมาตรการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินเฟ้อขึ้นไปอยู่ในจุดที่เหมาะสม และใกล้เคียงค่ากลางที่ 2%
"ผมไม่ว่าอะไร จะเป็น 1.5% หรือ 3.5% ก็ไม่มีผล ถ้าของจริงออกมาต่ำกว่า 1% ก็ค่าเท่ากัน ดังนั้นผมรับได้ ถ้าจะอยู่ 1-3% แต่ทั้งนี้ กนง. และแบงก์ชาติต้องมีมาตรการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ เพื่อให้เงินเฟ้อขึ้นไปอยู่จุดที่เหมาะสม ใกล้เคียงค่ากลาง เช่น 2%...แต่ถ้ามันต่ำกว่า 1% ช่วยทำมาตรการอื่นเพื่อช่วยให้เงินเฟ้อขึ้นไปได้ไหมที่ 2% จะตัดสินใจอย่างไรไม่ว่า เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจต้องการการลงทุน รัฐบาลผลักดันอยู่แล้ว เมื่อมีการลงทุน ปัจจัยที่อยากทำให้เกิดการลงทุน คืออัตราดอกเบี้ย การกำหนดมาตรการสนับสนุนการลงทุน ต้องมาดูเรื่องดอกเบี้ย จะขึ้นหรือลง ท่านจะรุ้ว่าควรสนับสนุนอย่างไร เราคงไม่บอกว่าจะขึ้นจะลงอย่างไร ถ้าอยากสนับสนุนเศรษฐกิจ ก็ต้องดูทั้งปัจจัยต่างประเทศ ดูว่าควรจะลงหรือขึ้น อย่าไปถามผู้ว่าฯ เลยว่างวดหน้าจะขึ้นหรือลง" นายพิชัย กล่าวนายพิชัย กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ ธปท. จะต้องกลับไปพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมด ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องเร่งสรุปให้ได้ภายในเดือน ธ.ค. นี้ เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป โดยยืนยันว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องเดินควบคู่กันไปได้ เพราะที่ผ่านมาไทยมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจโตไม่สูง โดยปีนี้คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ราว 2.7% บวกลบ ส่วนปี 2568 คาดว่าจะโตได้ถึง 3% บวกลบ แต่หากมีการปรับเปลี่ยนอะไรเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นได้ก็ควรจะทำ และเชื่อว่า ธปท. จะเข้าใจในเจตนาและนโยบายของรัฐบาล
อย่างไรก็ดี คาดว่าจะต้องมีการหารือระหว่างกระทรวงการคลัง และ ธปท. อีกรอบ ซึ่งอาจเป็นการหารือในวงเล็ก ซึ่งเชื่อว่าในครั้งหน้าคงจะมีข้อสรุปที่ชัดเจน "เหลืออีกครั้ง ครั้งหน้าคงจบได้ อาจเป็นการประชุมวงเล็ก...กรอบเงินเฟ้อ 1-3% ไม่ใช่ประเด็น ธปท. คงต้องทำนโยบายมาเสนอ เพื่อที่เราจะได้ทำนโยบายการคลังให้สอดคล้อง" รมว.คลัง ระบุ
รมว.คลัง ยังเห็นว่านโยบายเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเอื้ออำนวยและสอดคล้องเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย เนื่องจากเรื่องนี้หลายประเทศก็มีการพิจารณาเพื่อให้สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยไม่ได้มีการเข้าไปแทรกแซงให้เสียในหลักการ โดยอยากให้ ธปท. ไปพิจารณาว่าอัตราแลกเปลี่ยนของไทยสอดคล้องกับต่างประเทศ และสามารถแข่งกับคู่แข่งได้หรือไม่
"นโยบายการเงินบางประเทศไม่ได้พิจารณาแค่เรื่องอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ยังพิจารณานโยบายอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ซึ่งผมอยากใช้นโยบายเหล่านี้ควบคู่กันไป เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องเดียวกัน ในการช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งประเทศไทยพึ่งพาตลาดในประเทศ 70% ตลาดส่งออก 30% บางอย่างพึ่งพาการส่งออกถึง 50% ดังนั้นสะท้อนว่าบ้านเราชอบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่ไม่อยากบอกว่าต้องอ่อนค่าไปถึงแค่ไหน โดยอยากให้เป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ นั่นหมายถึงมาตรการด้านการเงินใด ๆ ที่จะออกมาจะต้องดูให้ครบทั้งหมด ทั้งเรื่องเงินเฟ้อ และอัตราแลกเปลี่ยน ที่จะต้องมีองค์ประกอบที่สนับสนุนการลงทุน ดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน การแก้หนี้ กำกับดูแลสถาบันการเงิน เหล่านี้ต้องออกมาเป็นแพคเก็จ" นายพิชัย กล่าว