กระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า บริษัทในญี่ปุ่นมีผลกำไรไตรมาสแรกร่วงลง 17.5% เหลือ 13.75 ล้านล้านเยน เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 อันเป็นผลมาจากการที่ราคาวัตถุดิบพุ่งสูง นอกจากนั้นยังถือว่าร่วงหนักสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ร่วงลง 31.4% ในไตรมาส 4 ของปี 2544 บริษัทในภาคการผลิตมีกำไรก่อนหักภาษีร่วงลง 15.7% ในไตรมาสแรก โดยอุตสาหกรรมเหล็กและเคมีภัณฑ์มีกำไรลดลงมากที่สุด ด้านบริษัทนอกภาคการผลิตกำไรร่วงลง 18.6% โดยภาคการก่อสร้าง ค้าส่ง และค้าปลีก ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ในขณะเดียวกัน ยอดขายรวมของบริษัทก็ลดลง 1.5% จากปีก่อน เหลือ 390.63 ล้านล้านเยน ซึ่งถือเป็นการหดตัวลงครั้งแรกในรอบ 20 ไตรมาส ยอดขายเฉพาะภาคการผลิตขยับขึ้น 5.9% แตะ 122.68 ล้านล้านเยน โดยได้รับแรงหนุนจากยอดส่งออกยานยนต์ แต่ยอดขายนอกภาคการผลิตลดลง 4.5% เหลือ 267.95 ล้าน้ลานเยน เนื่องจากราคาอาหารที่พุ่งสูงทำให้ยอดขายลดลง ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2545 ที่ทั้งผลกำไรก่อนหักภาษีและยอดขายของบริษัทในญี่ปุ่นหดตัวลงทั้งคู่ ด้านการใช้จ่ายรวมของบริษัทลดลง 4.9% จากปีที่แล้ว เหลือ 16.86 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการหดตัวลงเป็นไตรมาส 4 ติดต่อกัน การใช้จ่ายเฉพาะภาคการผลิตขยับขึ้น 0.9% โดยได้รับแรงหนุนจากบรษัทผลิตเหล็กและเครื่องจักรยานยนต์ อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายนอกภาคการผลิตร่วงลง 7.8% จากอุตสาหกรรมลีซซิ่งและการก่อสร้างที่มีการลงทุนน้อยลง ในขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายรวมทั้งภาคการผลิตและนอกภาคการผลิต แต่ไม่นับรวมการลงทุนในซอฟท์แวร์ ลดลง 5.3% จากปีที่แล้ว ด้านการใช้จ่ายของบริษัทที่มีทุน 1 พันล้านเยนขึ้นไปลดลง 2.5% ส่วนการใช้จ่ายของบริษัทที่มีทุนระหว่าง 100 - 1,000 ล้านเยน ร่วงลง 13.7% ในขณะที่การใช้จ่ายของบริษัทที่มีทุน 10 -100 ล้านเยน ลดลง 5.6% พร้อมกันนั้น กระทรวงการคลังได้ออกมาเตือนว่า การเปิดเผยผลสำรวจครั้งนี้อาจส่งผลในแง่ลบต่อภาคเอกชนในประเทศ "เมื่อผลกำไรและการใช้จ่ายภาคเอกชนลดลง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ชะลอตัวลงเป็นเงาตามตัว" เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังกล่าว "เราต้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด" ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวได้จากการสำรวจบริษัท 23,752 แห่งที่มีทุน 10 ล้านเยนขึ้นไป โดยมีผู้ยินดีให้ความร่วมมือราว 76.8% จากทั้งหมด แต่การสำรวจครั้งนี้ไม่นับรวมบริษัทด้านการเงินและบริษัทประกัน สำนักข่าวเกียวโดรายงาน