ค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียอ่อนค่าลงเนื่องจากมาตรการสร้างแรงจูงใจต่อสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปสกุลเงินรูเปียห์ยังไม่สามารถชักจูงให้นักลงทุนกล้าเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงได้
เมื่อวานนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียได้เรียกร้องให้บริษัทในประเทศส่งรายได้จากการส่งออกเพื่อกอบโกยเงินเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาในประเทศ พร้อมทั้งประกาศที่จะปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อกระตุ้นเงินรูเปียห์ให้แข็งค่าขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะรุกซื้อตราสารหนี้หลังจากที่สกุลเงินในประเทศอ่อนค่าลงหนักสุดถึง 29% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 10.36 น.ตามเวลาท้องถิ่น เงินรูเปียห์อ่อนค่าลง 1.8% แตะที่ 11,100 ต่อดอลลาร์ หลังจากพุ่งขึ้น 4.5% ในก่อนหน้านี้ ท่ามกลางกระแสความวิตกกังวลว่า ตลาดหุ้นที่พุ่งขึ้นจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นๆ ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความอ่อนแอ โดยเมื่อเวลา 11.35 น. ของวันนี้ ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นอินโดนีเซียปรับตัวลดลง 0.4% ซึ่งในปีนี้ตลาดหุ้นอินโดนีเซียดิ่งลงไปแล้ว 60%
นักวิเคราะห์จาก State Street Global Markets กล่าวว่า "ทิศทางของค่าเงินยังคงเป็นไปตามทัศนคติของนักลงทุนที่มีต่อความเสี่ยง เรายังไม่ทราบว่ามาตรการที่รัฐบาลประกาศออกไปนั้นจะสามารถกระตุ้นการหลั่งไหลของเงินทุนได้หรือไม่"
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าใช้มาตรการต่างๆมากขึ้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้พวกเขากล้าเข้าซื้อสินทรัพย์ในรูปสกุลเงินรูเปียห์ และแนะแนวทางให้รัฐบาลอินโดนีเซียเดินตามรอยสิงคโปร์ในการใช้มาตรการค้ำประกันเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด หลังจากที่ได้ปรับเพิ่มเพดานค้ำประกันเงินฝากสู่ระดับ 2 พันล้านรูเปียห์ (184,000 ดอลลาร์) ไปเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา