นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติการเงินโลกจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในไตรมาส 4/51 และมีผลต่อเนื่องมากขึ้นในไตรมาส 1/52 หลังจากที่เริ่มเห็นสัญญาณแล้วในไตรมาส 3/51 อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ในราวครึ่งหลังของปีหน้า
ธปท.คาดว่าไตรมาส 3/51 อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ(GDP)อยู่ที่กว่า 4% และในไตรมาส 4/51 น่าจะชะลอตัวลง
"GDP ไตรมาส 3 โต 4% กว่า ๆ ตามที่ประมาณาการไว้ ตอนนี้ผลกระทบวิกฤติการเงินโลกกระทบเศรษฐกิจไทยแล้ว จากการส่งออกที่ไตรมาส 3 ชะลอกว่าไตรมาส 2 การลงทุนภาคเอกชนไม่ได้เร่งตัวตามที่คาดไว้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัญหาการเมืองและปัจจัยนอกประเทศทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนชะลอตัว แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นฐานจากปีก่อนที่สูงด้วย เพราะเศรษฐกิจปี 50 ครึ่งปีหลังโตได้ดี"นางอมรา กล่าวธปท.แถลงภาวะเศรษฐกิจเดือน ก.ย.51 ด้านอุปทานมีแนวโน้มชะลอลง ผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน ขณะที่ราคาพืชผลสำคัญยังขยายตัวต่อเนื่องแม้ผลผลิตชะลอลง ทำให้รายได้เกษตรกรอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนการท่องเที่ยวหดตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเป็นสำคัญ
สำหรับด้านอุปสงค์ การลงทุนภาคเอกชนชะลอต่อเนื่องจากเดือนก่อน ขณะที่เครื่องชี้การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลจากราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ส่วนปริมาณการส่งออกและนำเข้าเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อน
เมื่อพิจารณาทั้งไตรมาส 3/51 เศรษฐกิจโดยรวมมีสัญญาณชะลอตัว เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักธุรกิจต่ำลงจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ประกอบกับความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกมากขึ้น แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจการาคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง สำหรับภาคการส่งออก ปริมาณการส่งออกชะลอตัวลงสอดคล้องกับการผลิตภาคอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวหดตัวลง แต่ผลผลิตและราคาพืชผลสำคัญยังขยายตัวในเกณฑ์ดี ส่งผลให้รายได้เกษตรกรขยายตัวต่อเนื่อง
เสถียรภาพต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล ด้านเสถียรภาพในประเทศ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานปรับลดลงต่อเนื่อง
นางอมรา กล่าวว่า ขณะนี้นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย แต่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในประเทศช่วงไหนต้องรอประเมินสถานการณ์ก่อน เพราะระยะนี้ทุกอย่างผันผวน ดังนั้น จึงยังต้องยึดหลักของเดิมที่ประมาณการไว้ภายใต้สมมติฐานเดิมก่อน
ส่วนการเพิ่มงบประมาณกลางปีอีก 1 แสนล้านบาทนั้น นางอมรา กล่าววา ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะช่วยเร่งความเชื่อมั่นให้เพิ่มขึ้น แต่ต้องขึ้นกับว่านำไปใช้เพื่อการอะไร หากใช้กับการบริโภคในระยะสั้นเร่งตัวขึ้นแน่ แต่ถ้าจะให้ผลในระยะยาวก็ควรจะลงทุนในเมกะโปรเจ็คต์เพื่อสนับสนุนความเชื่อมั่นเอกชนกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องดูว่าการเบิกจ่ายของภาครัฐทำได้ตามที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่