ยอดการยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ (foreclosures) ในสหรัฐเมื่อปี 2551 พุ่งสูงขึ้น 81% โดยราคาบ้านที่ร่วงลง การปล่อยเงินกู้เพื่อการจำนองที่เข้มงวดมากขึ้น และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 25 ปี ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของบ้านและผู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ในครอบครอง
ทั้งนี้ มียอดอสังหาฯมากกว่า 2.3 ล้านยูนิตที่ผิดนัดชำระเงิน หรือถูกยึดไป ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงสุดในรอบ 4 ปีที่เรียลตี้แทรค ได้รวบรวมข้อมูล ส่วนยอดการยึดทรัพย์ที่จำนองไว้ในเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 41% จากปีที่แล้ว แตะ 303,410 ราย
สหรัฐประสบปัญหาจำนวนผู้ตกงานถึงกว่า 2.6 ล้านรายในปีที่แล้ว ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐก็ร่วงหนักสุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ โดยนายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้ยอดการยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ส่งผลกระทบต่อตลาดบ้านและเศรษฐกิจอีก
เคนเนธ โรเซน ประธาน Fisher Center for Real Estate and Urban Economics มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, เบิร์คลีย์ กล่าวว่า หากสหรัฐไม่ใช้นโยบายระดับประเทศที่ครอบคลุมแล้ว เราจะมียอดการยึดทรัพย์สินใหม่ถึง 5-8 ล้านรายในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การปล่อยสินเชื่อสำหรับทุกคน
ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของโอบามา ระบุว่า โอบามาอาจจะใช้เงินทุนที่เหลืออยู่ 3.50 แสนล้านดอลลาร์จากโครงการบรรเทาสินทรัพย์มีปัญหา (TARP) เพื่อช่วยลดยอดการชำระเงินเพื่อการจำนองของประชาชนที่ถูกยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้
บาร์นีย์ แฟรงค์ ส.ส.เดโมแครตและประธานคณะกรรมการบริการด้านการเงินสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า อาจจะมีการจัดสรรเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อควบคุมยอดการผิดนัดชำระหนี้ของกลุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้าน
เจมส์ ซัคคาโช ซีอีโอของเรียลตี้แทร็ค กล่าวว่า โครงการป้องกันการยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ที่ธนาคารต่างๆของสหรัฐได้นำมาใช้เพื่อชะลอการยึดอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้ทำให้เกิดความคืบหน้าในการชะลอกระแสการยึดทรัพย์สินที่จำนองไว้ที่ถั่งโถมเข้ามาแต่อย่างใด มีเจ้าของบ้านเพียง 1 รายจากจำนวน 54 รายเท่านั้นที่ได้รับเงินจากโครงการช่วยเหลือดังกล่าว