สำนักงานสถิติออสเตรเลียเปิดเผยว่า ยอดเกินดุลการค้าของออสเตรเลียในเดือนธ.ค.ร่วงลงสู่ระดับ 589 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 979 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในเดือนพ.ย. เนื่องจากยอดส่งออกถ่านหินและเหล็กปรับตัวลดลง
ดุลบัญชีการค้าที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจออสเตรเลียได้รับผลกระทบจากวิกฤตอุปสงค์ทรัพยากรธรรมชาติตกต่ำลง ขณะที่ความวิตกกังวลว่าออสเตรเลียได้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2534 นั้นจะกระตุ้นให้แบงก์ชาติปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดที่ 3.25% จากระดับ 4.25% ในวันนี้ ขณะที่รัฐบาลจะประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองในวันนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเวย์น สวอน รมว.คลังออสเตรเลียชี้ว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจ
"ยอดเกินดุลการค้าออสเตรเลียยังคงปรับตัวลดลง" อเลกซ์ จอยเนอร์ นักวิเคราะห์จากออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป กล่าว "ออสเตรเลียมีปริมาณการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเนื่องจากสกุลเงินในประเทศอ่อนค่า แต่การส่งออกอยู่ในภาวะขาลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง"ทั้งนี้ ยอดส่งออกของออสเตรเลียในเดือนธ.ค.ลดลง 3% แตะที่ 2.57 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยมีตัวเลขการส่งออกถ่านหินและเหล็กดิ่งลง 11% ขณะที่ยอดนำเข้าตกลง 2% ในเดือนธ.ค.แตะที่ 2.51 หมื่นล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย โดยยอดนำเข้าเชื้อเพลิงดิ่งลง 14%
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ณ เวลา 11.37 น.ตามเวลาซิดนีย์ เงินดอลลาร์ออสเตรเลียเคลื่อนไหวที่ 63.20 เซนต์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย จากระดับ 63.19 เซนต์สหรัฐ/ดอลลาร์ออสเตรเลีย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจออสเตรเลียอาจเผชิญภาวะถดถอยอย่างเต็มตัวเช่นเดียวกับสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่นและยุโรป หลังรายงานตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี