นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ฐานะการคลังเบื้องต้นตามระบบ สศค.(ระบบ Government Finance Statistics: GFS)ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 52(ต.ค.-ธ.ค.51) รัฐบาลขาดดุลการคลังทั้งสิ้น 124,800 ล้านบาท คิดเป็น 1.3 % ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 55,415 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการคลัง สะท้อนถึงบทบาทของนโยบายการคลังในการพยุงและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ฐานะการคลังตามระบบ สศค. ที่ขาดดุล เกิดจากรายได้ภาครัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 419,873 ล้านบาท คิดเป็น 4.5% ของ GDP ลดลงเมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน เกิดจากรายได้รัฐบาล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลดลง ซึ่งรัฐบาลมีรายได้รวม 274,787 ล้านบาท คิดเป็น 3% ของ GDP โดยการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมหลัก(กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร)และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจที่ต่ำกว่าเป้าหมาย ส่วนรายได้ อปท.มีทั้งสิ้น 51,436 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.8% เนื่องจากได้รับเงินอุดหนุนทั่วไปจากรัฐบาลช้ากว่าปีที่แล้ว
ส่วนรายจ่ายของภาครัฐบาล(รวมการให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาล) ซึ่งมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจจริงมีจำนวน 544,674 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.5% เป็นการลดลงของรายจ่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองทุนนอกงบประมาณ โดยรัฐบาลมีการเบิกจ่ายงบประมาณ 399,686 ล้านบาท คิดเป็น 4.3% ของ GDP และรายจ่าย อปท. มีทั้งสิ้น 65,652 ล้านบาท คิดเป็น 0.7% ของ GDP รายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศ (Project Loans) มีการเบิกจ่ายทั้งสิ้น 2,283 ล้านบาท และบัญชีนอกงบประมาณมีรายจ่ายและเงินให้กู้หักชำระคืนตามนโยบายรัฐบาลรวม 77,053 ล้านบาท
ส่งผลให้ดุลการคลังภาครัฐบาลขาดดุล ผลจากการที่ภาครัฐบาลมีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ จำนวน 124,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น1.3% ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ขาดดุลจำนวน 69,386 ล้านบาท หรือ 0.8% ของ GDP
ดุลการคลังเบื้องต้นของรัฐบาล (Primary Balance) ซึ่งเป็นดุลการคลังที่สะท้อนถึงผลการดำเนินงานของรัฐบาลและทิศทางของนโยบายการคลังของรัฐบาลอย่างแท้จริง โดยไม่รวมรายได้และรายจ่ายดอกเบี้ย และการชำระคืนต้นเงินกู้ ใน Q1/ปีงบประมาณ 52 ขาดดุลทั้งสิ้น 92,471 ล้านบาท คิดเป็น1% ของ GDP จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ ขาดดุล 38,086 ล้านบาท คิดเป็น 0.4% ของ GDP