ปิโตรไชน่า ซึ่งเป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ของโลกเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทางตลาด มีกำไรในรอบปีลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2544 หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงและบริษัทขาดทุนจากการกลั่นมากขึ้น
กำไรสุทธิของบริษัทในปีที่แล้ว ร่วงลง 22% มาอยู่ที่ 1.14 แสนล้านหยวน (1.67 หมื่นล้านดอลลาร์) หรือ 0.63 หยวนต่อหุ้น จากระดับ 1.46 แสนล้านหยวน หรือ 0.81 หยวนต่อหุ้นเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่บลูมเบิร์กสำรวจความคิดเห็นและคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.16 แสนล้านหยวน ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแตะ 1.1 ล้านล้านหยวนจากปีก่อนหน้านี้ที่ 8.35 แสนล้านหยวน
ปิโตรไชน่ามีกำไรลดลงเช่นเดียวกับบีพี รอยัล ดัทช์ เชลล์ หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบร่วงลงไป 70% จากระดับสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว บริษัทยังขาดทุนจากการแปรรูปน้ำมันดิบในช่วง 6 เดือนแรก เนื่องจากรัฐบาลได้ควบคุมราคาเชื้อเพลิงเพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ลูกค้า
เกรซ หลิว นักวิเคราะห์ของบล.กัวไถ่ จูหนาน กล่าวว่า ปีที่แล้วเป็นปีที่ลำบาก บริษัทได้รับผลกระทบจากการจำกัดราคาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับน้ำมัน รวมทั้งต้นทุนด้านน้ำมันที่สูงขึ้น
เจียง เจอหมิน ประธานบริษัทกล่าวว่า กำไรของปิโตรไชน่าในปี 2552 คงจะย่ำแย่กว่าปี 2551 โดยกำไรอาจจะร่วงลง 29% เหลือ 8.18 หมื่นล้านหยวนในปีนี้
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลจีนระบุว่า ความต้องการน้ำมันเบนซินและดีเซลอาจจะลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เนื่องจากวิกฤตการเงินโลก