ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจะติดลบ 1.7% ในปี 2552 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะชะลอตัวอย่างหนักในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เศรษฐกิจโลกยังคงย่ำแย่
ธนาคารโลกระบุในรายงานคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจะขยายตัวแค่ 2.1% ในปีนี้ ซึ่งลดลงอย่างมากจากอัตราการขยายตัวที่ 5.8% ในปี 2551 และลดลงจากระดับ 4.4% ในการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ซึ่งการขยายตัวในระดับที่ชะลอตัวลงอย่างมากนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ถดถอยลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ธนาคารโลกยังได้คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ว่าจะหดตัว 3%
ธนาคารโลกย้ำว่า แม้มีความเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มดีดตัวขึ้นในปี 2553 แต่ระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะยังคงอ่อนแอและอัตราว่างงานยังคงปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสองปีจากนี้
ทั้งนี้ เมื่อแยกตามภูมิภาค ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า การขยายตัวของจีดีพีในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 5.3% ในปีนี้ เนื่องจากยักษ์ใหญ่อย่างจีนก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงจนไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาของประเทศในภูมิภาคได้ โดยธนาคารโลกคาดว่า จีดีพีจีนชะลอตัวแตะ 6.5% และเศรษฐกิจของอีกหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้
แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียใต้น่าจะชะลอตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 3.7% ซึ่งลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ว่าจะขยายตัว 5.4% และลดลงจากปี 2551 ที่ขยายตัว 5.6%
สำหรับจีดีพีในยุโรปและเอเชียกลางจะร่วงลง 2% ในปี 2552 เทียบกับปี 2551 ที่ขยายตัว 4.2% ส่วนจีดีพีในลาตินอเมริกาและแคริบเบียนจะหดตัวเช่นกันที่ 0.6% จากที่ขยายตัว 4.3% ในปีก่อน
ธนาคารโลกมองว่า เศรษฐกิจในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือจะได้รับผลกระทบน้อยสุดในบรรดาประเทศกำลังพัฒนา โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 3.3% ลดลงจากคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 3.6% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รายได้จากน้ำมันลดลง นอกจากนี้ธนาคารโลกยังมองด้วยว่า การลดผลผลิตน้ำมันจะถ่วงการขยายตัวของจีดีพีในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันลงมาอยู่ที่ 2.9% จาก 4.5% ในปี 2551
ส่วนในภูมิภาคซับ-ซาฮาราของแอฟริกานั้น คาดว่า จีดีพีจะขยายตัวลดลงครึ่งหนึ่งจาก 4.9% ในปี 2551 มาอยู่ที่ 2.4% ในปีนี้ และลดลง 1.8% จากคาดการณ์ของธนาคารโลกครั้งก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดิ่งลงอย่างมาก