เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัว หลังจากยอดขายบ้านในสหรัฐเริ่มกระเตื้องขึ้นโดยเฉพาะในเขตชายฝั่งตะวันออก ซึ่งมีชาวสหรัฐยื่นเรื่องขอเงินกู้จำนองบ้านกับธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ขณะที่สถานการณ์ในตลาดแรงงานก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ถึงกระนั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะหลุดพ้นจากภาวะถดถอยได้อย่างสิ้นเชิง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ทางการสหรัฐได้เปิดเผยยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขายซึ่งขายตัว 3.2% ในเดือนมี.ค. สูงขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
ด้านลอเรนซ์ ยูน นักวิเคราะห์จากสมาคมนนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์กล่าวว่า ตลาดอาจต้องใช้เวลาอีก 2-3 เดือนกว่าฟื้นตัวขึ้นอย่างเต็มที่ แต่การซื้อบ้านที่เพิ่มขึ้นอาจบ่งชี้ได้ว่าผู้ซื้อบ้านหลังแรกยินดีที่จะทำตามเงื่อนไขการกู้เงิน และยินดีที่จะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งการปล่อยเงินกู้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น ขณะที่โครงการที่อยู่อาศัยบางแห่งมีข้อเสนอพิเศษด้วยการให้ผู้ซื้อบ้านจ่ายเงินผ่อนได้โดยไม่ต้องดาวน์
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากเทียบสถานการณ์ปีนี้กับปีที่แล้ว จะเห็นว่าหลายครอบครัวผ่อนชำระเงินกู้บ้านในอัตราที่ต่ำมาก หรือเรียกได้ว่าพวกเขาสามารถซื้อบ้านที่ดีกว่าเดิมได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินอย่างมากมายในแต่ละเดือน
ขณะเดียวกัน เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยในสหรัฐที่ซบเซามา 3 ปีใกล้ฟื้นตัวแล้ว และภาวะถดถอยน่าจะสิ้นสุดลงได้ในปีนี้
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกล่าวแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนซื้อบ้านเพื่อเก็งกำไรว่ายังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่ามูลค่าบ้านจะขยายตัวขึ้นมากน้อยแค่ไหนในระยะนี้ เนื่องจากอัตราว่างงานยังคงพุ่งสูง โดยเมื่อคืนนี้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยอัตราว่างงานในเดือนเม.ย.ที่เพิ่มขึ้น 8.9% จากระดับ 8.5% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ตัวเลขจ้างงานไม่ได้ลดลงไปมากอย่างที่ตลาดคาดการณ์ไว้