นายประกิต ประทีปะเสน ประธานคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย เปิดเผยว่า ที่ประชุมร่วมผู้ประกอบการโรงงานน้ำตาลทราย 47 แห่งทั่วประเทศ มีมติว่าไม่จำเป็นที่ประเทศไทยจะต้องสำรองน้ำตาลทรายโควต้า ก.(สำหรับบริโภคในประเทศ) เพิ่มอีก 2 งวดหรือประมาณ 7.2 แสนกระสอบ ตามข้อเสนอของมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(กอน.) เพราะสมาคมฯ เชื่อว่าปริมาณน้ำตาลทรายโควต้า ก.ที่ 19 ล้านกระสอบจะเพียงพอต่อการบริโภคในประเทศอย่างแน่นอน
เนื่องจากเมื่อพิจารณาสถิติการจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ภายในประเทศตั้งแต่ปี 48-52 ของสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) พบว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำตาลทรายในประเทศช่วง 5 เดือนแรกของปี 52 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 7.89 ล้านกระสอบ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 4.5 แสนกระสอบ ถือเป็นปริมาณการขายที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้จากปริมาณน้ำตาลทรายค้างกระดาน ณ วันที่ 29 มิ.ย.52 จำนวน 1,135,967 กระสอบ เทียบเท่าการสำรองเกิน 3 งวด(งวดละ 360,000 กระสอบ หากกำหนดให้สำรองเพิ่มขึ้นก็อาจก่อให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายและมีผลกดดันต่อราคาขาย อันเป็นการทำลายอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายโดยใช่เหตุ
"เราไม่คิดว่าน้ำตาลทรายบริโภคในประเทศจะขาดแคลน ความเป็นจริงมีโอกาสจะล้นไปด้วยซ้ำ เพราะถ้าดูจากสถิติของ สอน.ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เห็นชัดว่าการบริโภคน้ำตาลทรายในประเทศปีนี้ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี แทนที่จะให้สำรองไว้ในประเทศมากๆ เรากลับเห็นว่าหากน้ำตาลทรายค้างกระดานมีมากเกินไป ก็ควรปรับลดปริมาณน้ำตาลทรายโควตา ก.ลง และไปเพิ่มให้กับโควตา ค.(สำหรับส่งออก) แทน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศอีกด้วย" นายประกิต กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของชาวไร่อ้อย ถึงแม้จะให้สำรองปริมาณน้ำตาลทรายโควตา ก.มากขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่าชาวไร่จะมีรายได้มากขึ้น เพราะส่วนแบ่งรายได้ที่ชาวไร่จะได้รับนั้นมาจากปริมาณการจำหน่ายจริง หากสำรองเพิ่มแต่ขายไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ชาวไร่อ้อยจะได้รับคือ ราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่สูงขึ้นอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยคาดว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปี 51/52 จะอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 900 บาท/ตันอ้อย จากราคาขั้นต้นที่ 830 บาท/ตันอ้อย